Search This Blog

Monday 9 June 2014

Bit Coin คือ




บิตคอยน์ หรือ Bitcoin คือสกุลเงินเสมือน ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาของเซียนคอมพิวเตอร์ ผู้ที่ใช้ชื่อว่า ซาโตชิ นากาโมโตะ (Satoshi Nakamoto)  ตั้งแต่ปี 2009

และทุกวันนี้ คำว่า บิตคอยน์ ยังเป็นศัพ ถูกบัญญัติความหมายไว้ในพจนานุกรมออคฟอร์ดว่า “สกุลเงินดิจิตอลในการทำธุรกรรมซึ่งสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องผ่านธนาคารกลาง”

โดยหลักการของบิตคอยน์ คือเป็น สกุลเงินดิจิตัล ที่อยู่ภายใต้การดูแลของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

และมีจุดประสงค์เพื่อ ลดบทบาทของธนาคารในการกำหนดค่าเงิน การพิมพ์ - แจก การบันทึก ฝากเงิน - โอนเงิน

ซึ่งแทนที่จะต้องให้ธนาคารเป็นผู้ทำธุรกรรมให้ แต่บิตคอยน์ ได้ออกแบบให้คนทุกคนรับรู้และยืนยันการโอนเงิน รับเงิน ผ่านทางซอฟแวร์และไฟล์ข้อมูลเฉพาะทางที่เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายอยู่ทั่วโลก

ที่น่าสนใจยังเป็นเรื่องของมูลค่าของเงิน บิตคอยน์ ที่จะเปลี่ยนแปลงขึ้นลงไม่คงที่ เนื่องจากการกำหนดค่าเงิน 1 บิตคอยน์ จะเกิดจากกาคำนวณผ่านคอมพิวเตอร์ ประสิทธิ์ภาพสูง (ของกลุ่มคนที่อุทิศคอมพิวเตอร์เพื่อรันซอฟแวร์ของบิตคอยน์ให้ทำงานตลอดเวลา และจะได้รับบิตคอยน์กลับมาให้ตัวเองเป็นการตอบแทน)

เงินบิตคอยน์สามารนำไปแลกเป็นเงินจริงประเทศต่างๆ ได้ หรือสามารถนำไปซื้อสินค้าบนอินเตอร์เน็ต ได้อีกด้วย

Note. ในขณะที่ต่างประเทศ รัฐบาลแต่ละประเทศไม่มีการควบคุมในเรื่องบิตคอยน์ แต่ ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้สั่งระงับการแลกเปลี่ยนเงินบิตคอยน์ภายในประเทศ ด้วยเหตุผลที่ว่า สกุลเงินบิตคอยน์ขาดข้อกฎหมายกำกับเฉพาะด้านที่ชัดเจน ทำให้การทำธุรกรรมเกี่ยวกับ บิตคอยน์ เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายการเงินในประเทศไทย

Wednesday 27 March 2013

บัตรเครดิตเกษตรกร



นโยบายเครดิตการ์ดให้เกษตรกร มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือในเรื่องการประกอบอาชีพและการดำรงชีพของเกษตรกร โดยบัตรเครดิตดังกล่าว สามารถนำไปซื้อพันธุ์ข้าวเปลือก ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง อุปกรณ์ทางการเกษตร รวมทั้งการประกันราคาผลผลิต เมื่อเกษตรกรเก็บเกี่ยวผลผลิตก็สามารถนำเงินไปชำระได้ในภายหลัง

พิจารณาเบื้องต้น นโยบายนี้เป็นที่ใหม่สำหรับคนไทย แต่สำหรับเกษตรกรอินเดียมีบัตรเครดิตใช้มานานแล้ว โดยใช้ชื่อว่า “Kisan Credit Card” ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2541-2542 จุดประสงค์เพื่อช่วยเกษตรกรในการเข้าถึงแหล่งทุนระยะสั้น มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในทางการเงิน ให้เกษตรกรสามารถ ซื้อวัสดุอุปกรณ์ ปัจจัยการผลิต ลงทุนในกิจกรรมทางการเกษตรที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น 

เงื่อนไขเกี่ยวกับการใช้ Kisan Credit Card เช่น เบิกได้ 15,000 รูปีย์หรือประมาณ 11,250 บาท และจาก ATM สามารถรูดได้ 25,000 รูปีย์ หรือประมาณ 18,750 บาท โดยบัตรมีอายุ 3 ปี สามารถได้รับเครดิตเพิ่มหรือลดหรือถูกยกเลิกได้ ขึ้นอยู่กับความสามารถของเกษตรกรในการหารายได้ และต้องชำระเงินคืนหลังขายผลผลิตได้ เป็นต้น

ปัจจุบันเกษตรกร 66.56 ล้านคนทั่วอินเดียมี Kisan Credit Card โดยในปี พ.ศ. 2548 ออกบัตรไป 8 ล้านใบ ปี พ.ศ. 2549 ออกบัตรไป 7.4 ล้านใบ 5 ปีหลัง (ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2545-2550) ออกบัตรเฉลี่ยปีละ 9 ล้านใบ

หากพิจารณาถึงความสำเร็จของอินเดียต่อ Kisan Credit Card ถือว่าประสบความสำเร็จน่าพอใจ (ในแง่การช่วยเหลือเกษตรกร เพราะสามารถช่วยให้เกษตรกรเข้าถึงสินเชื่อได้ทันท่วงที ครอบคลุมเกษตรกรรายย่อย เกษตรกรที่ใช้ Kisan Credit Card ผลการดำเนินงานดีกว่าเกษตรกรที่ไม่ใช้ 

อย่างไรก็ตาม ปัญหาในเรื่องหนี้เสียเป็นปัญหาหลักของนโยบายดังกล่าว (Kallur, 2005) จากการศึกษาเกษตรกร 150 คน 7 หมู่บ้าน ปี 2547-2548 ในรัฐกรณาฏกะ (Karnataka) พบว่า อัตราการชำระหนี้อยู่ที่ร้อยละ 35 เท่านั้น

ซึ่งประเทศไทย โดยพรรคเพื่อไทย ก็ได้ออกนโยบาย บัตรเครดิตเกษตรกร ออกมาแล้ว โดย ธ.ก.ส เป็นผู้ดำเนินการ ประกาศความพร้อมออกบัตรสินเชื่อเกษตรกร แจกจ่ายให้เกษตรกร 2 ล้านรายพร้อมกันในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยใช้งบประมาณดำเนินการ 2-3หมื่นล้านบาท ซึ่งในตอนนี้ยังเป็นช่วงเริ่มต้นโครงการอยู่ แล้วสักช่วงเวลาหนึ่งเราคงจะได้รู้กันว่า บัตรเครดิตเกษตรกร นี้จะช่วยให้ความเป็นอยู่ของของเกษตรกรดีขึ้นหรือไม่อย่างไร


Monday 4 March 2013

บัตรเครดิตพลังงาน



บัตรเครดิตพลังงาน เป็นโครงการสำหรับซื้อพลังงานเชื้อเพลิงในรูปแบบเอ็นจีวี (NGV) ในรูปแบบของบัตรเครดิตสำหรับรถโดยสารสาธารณะ ที่เกิดขึ้นในสมัยของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยเน้นการลดค่าใช้จ่ายในช่วงการปรับราคาก๊าซเอ็นจีวี
โครงการบัตรเครดิตพลังงาน จัดโดยความร่วมมือระหว่าง กระทรวงพลังงาน ปตท. และ ธนาคารกรุงไทย โดยในช่วงแรกเน้นกลุ่มรถแท็กซี่ รถตู้ร่วม ขสมก. และรถตุ๊กตุ๊ก และในอนาคตจะมีการสนับสนุนในส่วนของรถจักรยานยนต์รับจ้างในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ

  • วงเงินเครดิต 3,000 บาท/คน/เดือน
  • ส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV : 0.50-2.00 บาท/กก.
กลุ่มผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะ
  • รถแท็กซี่ NGV
  • รถตุ๊กตุ๊ก NGV
  • และรถตู้ร่วม ขสมก. NGV
เฉพาะสถานีบริการก๊าซ NGV ที่ร่วมโครงการในกรุงเทพฯ และปริมณฑล

เอกสารที่ใช้ในการสมัครบัตรเครดิตฯ
  • ใบสมัคร (รับใบสมัครได้ที่สถานีบริการ NGV ที่กำหนด)
  • ใบขับขี่รถยนต์สาธารณะพร้อมสำเนา
  • ใบอนุญาตขับรถสาธารณะ (ใบแสดงหน้ารถ) พร้อมสำเนา
  • บัตรประชาชน พร้อมสำเนา
  • รูปถ่าย หน้าตรง ไม่สวมแว่น ขนาด 1 นิ้ว 1 ใบ
  • หนังสือรับรองแสดงเป็นผู้ขับรถที่โครงการกำหนดไว้จาก สหกรณ์ / บริษัท / หจก. และสวนบุคคล
  • ที่อยู่ / เบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้สะดวก
เอกสารที่ใช้ในการขอรับบัตรเติมก๊าซ NGV สำหรับเจ้าของรถฯ
  • สำเนาบัตรประชาชน
  • สำเนาทะเบียนรถ ประกอบด้วย
    • หน้าแสดง "รายการจดทะเบียน" (ที่เปลี่ยนเชื้อเพลิงเป็น CNG แล้ว)
    • หน้าแสดง "เจ้าของรถ"
    • หน้าแสดง "รายการเสียภาษี"
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร 02-315-7515

Wednesday 30 January 2013

วีซ่า มาสเตอร์ และ อเมริกันเอ็กเพรส ต่างกันอย่างไร


รูปจากอินเตอร์เนท


วิซ่า มาสเตอร์ และ อเมริกันเอ็กเพรส ต่างกันอย่างไร
ในโลกเรานี้ จริงๆ แล้วมี สถาบันทางการเงิน / ธนาคาร / บริษัท ผู้ออกบัตรเครดิต และ ชาร์จการ์ด อยู่มากเลยครับ แต่ในจำนวนที่มากมายนั้น เจ้าที่เป็นตัวกลางที่นิยมใช้ทั่วโลกมีอยู่ไม่กี่เจ้าครับ คือมี Visa International ผู้บริหารบัตรวีซ่า , MasterCard International ผู้บริหารบัตรมาสเตอร์ , American Express , Dinner Club

วีซ่ากับมาสเตอร์การ์ด จริงๆแล้ว ทั้งสองบริษัทนี้เป็นคู่แข่งทางการตลาดเหมือนกับ โลตัส กับ บิกซี หรือ โค้ก กับ เป็บซี่ ซึ่งบริษัททั้งสองนี้แข่งกันในด้านการตลาดเรื่องของร้านค้าที่รองรับการบริการ โดยในปัจจุบันทวีปเอซียจะมีคนใช้ วีซ่าการ์ด มากกว่ามาสเตอร์การ์ด เล็กน้อย แต่ว่าว่าในทวีปฝั่งยุโรป มาสเตอร์การ์ดจะมีมากกว่าครับ และเพราะเป็นคู่แข่งกันจึงมีฐานลูกค้าที่เหมือนกันจึงไปกดดันให้เจ้าของธนาคารให้ออกบัตรของบริษัทตนให้ทั้งคู่  หลายๆ ธนาคารจึงอนุมัติให้ลูกค้าไปทั้งสองใบเลย คือสมัครบัตรเครดิตครั้งนึงก็จะได้บัตรใช้ 2 ใบเลย ทั้งวีซ่าและมาสเตอร์การ์ด

American Express (AMEX) และ Dinner Club จะเป็นบัตรประเภทชาร์จการ์ด คือ เป็นประเภทจ่ายหมดในครั้งเดียวที่รอบบิลมาถึง ซึ่งมีข้อดีที่เหนือกว่า เครดิตการ์ดทั่วไปคือ ช่วยควบคุมค่าใช้จ่าย ของเราได้ (ต้องมีวินัยทางการเงินสูงเพราะผ่อนไม่ได้) และการใช้จ่ายผ่านบัตรนี้ยังรวมถึงการเดินทางแบบมีประกัน และส่วนลดจากการพักโรงแรมได้ด้วย ซึ่งไม่มีใน เครดิตการ์ด ปกติ ด้วย แต่ว่าฐานลูกค้าของ AMEX จะเน้นที่กลุ่มไฮโซมากกว่า เพราะว่าฐารของเงินเดือนที่สมัครบัตรนี้ได้จะค่อนข้างสูง และต้องเสียค่าใช้จ่ายรายปี สูงกว่า บัตร เครดิตการ์ด ทั่วไป

เลือกอันไหนดีล่ะ ถ้ายังลังเลเลือกไม่ถูกอีกล่ะก็ จะสรุปง่ายๆ คือ ถ้าคุณใช้จ่ายอยู่ที่ทวีปเอเซียเป็นหลัก ให้สมัครบัตร วีซ่าหรือมาสเตอร์การ์ดจะเป็นประโยชน์มากกว่า เพราะว่าทวีปเอซียโดยเฉพาะประเทศไทยร้านค้ามักไม่รับบัตร AMEX เพราะคิดค่าธรรมเีนียมแพงกว่าบัตรอื่นครับ แต่ถ้าอยู่อเมริกา ก็ใช้ได้ทั้งหมดเลยครับ ขึ้นอยู่กับความสะดวกแล้วครับ

Wednesday 9 January 2013

โอนเงินจากบัตรเครดิต



รูปจากอินเตอร์เนท

โอนเงินจากบัตรเครดิตได้มั้ยนะ
        สงสัยกันบ้างหรือเปล่า อยากจะเอาเงินที่เราเป็นหนี้ไปให้คนอื่นเนี่ยธนาคารจะยอมไหมนะ :) . ซึ่งจะได้หรือไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับสถาบันการเงินที่ออกบัตรเครดิตให้เราว่าเขามีบริการตรงนี้หรือเปล่า แต่
        โดยมากแล้วมักจะเป็นการโอนยอดเงินจากบัตรเครดิตเข้าสู่บัญชีของเจ้าของบัตรที่เป็นธนาคารเดียวกันมากกว่า เช่น สมัครบัตรเครดิตกับธนาคารไทยพาณิชย์ และทำการผูกบัญชีเงินฝากของธนาคารเข้าไปด้วย เพื่อสะดวกในการชำระหนี้(สามารถหักจากยอดบัญชีเงินฝากได้) และโอนเงินจากบัตรเครดิตเข้าบัญชีนี้ได้ด้วย โดยบางแบงค์อาจไม่คิดค่าธรรมเนียมการถอนวงเงินบัตรเครดิต 3% อีกต่างหาก เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์ (ของเขาดีจริงๆ)  แต่อาจจะสามารถทำได้ในช่วงเวลาทำการเพราะต้องใช้เจ้าหน้าที่ในการดำเนินงานให้ (เสียเวลา 1 - 2 วันทำการ)
        หลังจากได้รับเงินโอนจารบัตรเครดิตแล้วเราก็สามารถโอนเงินจาก ATM หรือบัญชีธนาคารของเราไปที่บุคคลอื่นได้ตามต้องการแล้ว (ง่ายใช่ไหมล่ะ)
        อ่า แล้วถ้าผู้รับเงินอยู่ต่างประเทศจะโอนเงินทำงัยล่ะ ฮ่าๆ จะบอกทำไม่ได้ก็ยังงัยอยู่ มีทางออกให้อีกนิดหน่อยครับลองดูหัวข้อด้านล่างได้เลย



รูปจากอินเตอร์เนท

โอนเงินจากบัตรเครดิตเข้า Paypal
        เราสามารถโอนถ่ายเงินระหว่างบัตรเครดิต กับ Paypal ได้ง่าย เพียงแค่ต้องมีบัตรเครดิตก่อน แล้วจึงสมัคร Paypal
        โดย Paypal จะ สามารถ โอน เงินให้ คนอื่น สูง สุด 1000$ โดย Paypal จะเป็นตัวกลางในการ ดูดเงิน จาก บัตรคุณ ไปเข้า บัญชี Paypal ของคนอื่น ( คนที่เราจะโอนให้ต้อง สมัคร บัญชี กับ Paypal ด้วย )

        ผู้รับ เงิน สามารถ add bank ในบัญชี Paypal แล้ว สั่งให้เค้า ส่งเงินเข้า ธนาคาร ได้ โดยตรง
วิธีสมัคร และ add bank
http://ptc.icphysics.com/paypal_info.htm

* ด้วย 2 วิธีง่ายๆ นี้ ลองไปดูละกันครับ ว่าวิธีไหนเหมาะกับคุณที่สุด

Sunday 23 December 2012

บัตรเครดิตกับบัตรเดบิต


รูปจากอินเตอร์เนท

บัตรเครดิต 
ให้นิยามอย่างง่ายๆ คือ เอาของมาก่อนแล้วจ่ายเงินทีหลัง เป็นการนำเงินจากสถาบันการเงินที่อนุมัติบัตรเครดิตมาใช้ก่อนแล้วจึงผ่อนชำระค่าทีหลังโดยบัตรเครดิตเป็นบัตรที่รองรับจากสถาบันการเงินทั่วโลกสามารถใช้จ่ายได้เกือบทุกประเทศทั่วโลก

ข้อดีของบัตรเครดิต

  • ในกรณีที่เงินสดไม่เพียงพอซื้อสินค้าหรือใช้บริการเราสามารถใช้บัตรเครดิตเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการนั้นก่อนได้แล้วจึงไปชำระค่าสินค้าหรือบริการทีหลัง
  • มีโปรโมชั่นต่างๆ มากมาย เช่น ลดค่าน้ำมัน , ลดค่าอาหาร ฯลฯ
  • เป็นเสมือนวงเงินสำรองเวลาฉุกเฉินต้องใช้เงิน
  • ใช้ซื้อสินค้าหรือใช้บริการทางอินเตอร์เนท
  • ไม่ต้องใช้เงินสดในการบริการหรือซื้อสินค้า
  • ไปต่างประเทศไม่ต้องพกเงินสดไปเยอะ (ใช้บัตรเครดิตได้)


ข้อเสียของบัตรเครดิต

  • ถ้าไม่ควบคุมค่าใช้จ่ายให้ดีจะทำให้เป็นหนี้ได้ง่าย
  • บัตรเครดิตมีค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยด้วยต้องศึกษาให้ดี
  • ถูกขโมยไปใช้ได้ง่ายถ้าไม่ระวัง
  • ข้อมูลบัตรเครดิตเชื่อมโยงกันถ้าผิดชำระหนี้จะกระทบกับเครดิตของผู้ถือบัตร ซึ่งอาจต้องใช้เวลาพอสมควรในการลบเครดิตที่เสีย



บัตรเดบิต
หลายๆ ธนาคาร เวลาลูกค้าเลือกใช้ บัตร atm แล้วโดยมากจะมีบริการทำเป็น เดบิต ได้ด้วย เปรียบเสมือนการถอนเงินสดออกมาจากบัญชีของธนาคารเจ้าของบัตร โดยจำนวนเงินที่จ่ายไปจากการซื้อสินค้าหรือบริการจะถูกหักทันทีจากธนาคาร ดังนั้นถ้าไม่มีเงินฝากในธนาคารหรือเงินในธนาคารเจ้าของบัตรเหลือน้อยกว่ามูลค่าสินค้าหรือบริการจะไม่สามารถซื้อสินค้าหรือบริการนั้นได้

ข้อดีของบัตรเดบิต

  • ควบคุมการเป็นหนี้ได้ดีกว่าบัตรเครดิต (เพราะต้องหักบัญชีธนาคารทันทีทำให้ไม่มีทางเป็นหนี้ได้เลย)
  • ไม่ต้องพกเงินสดแค่มีเงินฝากในธนาคารเจ้าของบัตรเดบิตก็สามารถซื้อสินค้าหรือบริการได้แล้ว
  • ถึงถูกคนขโมยบัตรเดบิตไปใช้ ก็ใช้ได้แค่จำนวนเงินที่อยู่ในธนาคารเท่านั้น


ข้อเสียของบัตรเดบิต

  • ใช้ซื้อสินค้าหรือบริการทางอินเตอร์เนทไม่ได้
  • วงเงินจำกัดแค่ในบัตร ถ้าสินค้าหรือบริการที่ต้องการซื้อมีราคาสูงกว่าจะไม่สามารถซื้อหรือใช้บริการได้



Wednesday 19 December 2012

PayPal คือ


รูปจากอินเตอร์เนท


PayPal คือ
สื่อกลางในการซื้อขายของ เช่นเดียวกับเครดิตการ์ด แต่บางคนอาจจะสงสัยว่า
"งั้นใช้เครดิตการ์ดโดยตรงไม่สะดวกกว่าหรืองัย" 
ใช่ครับ การใช้บัตรเครดิตโดยตรงนั้นสะดวกกว่าอยู่แล้วไม่ต้องสมัครอะไรเพิ่มเติมให้ยุ่งยากด้วย แล้วเราก็จะเริ่มสงสัยว่า
"ทำไมถึงต้องใช้ตัวกลาง (PayPal) ในการจ่ายเงิน?"
 แต่พอคิดกลับกันในกรณีที่เราจะซื้อของจากที่หนึ่งซึ่งเราไม่คุ้นเคยมาก่อน เราคงไม่อยากบอกเบอร์บัตรเครดิตของเราให้ผู้ขาย(ซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ เป็นโจรแฝงตัวมาหรือเปล่าก็ไม่ทราบ) แต่กับ PayPal ซึ่งเป็นบ.นายหน้าอาชีพ เขามีชื่อเสียง และคงไม่โกงบัตรเครดิตเราแน่นอน

ยังมีข้อดีอีกอย่างหนึ่งคือ สำหรับคนที่ต้องการซื้อสินค้าบนอินเตอร์เนท แต่ไม่มีบัตรเครดิตการ์ด (ทางอินเตอร์เนท นิยมใช้การซื้อขายผ่านทางบัญชีบัตรเครดิต กับ Paypal) เราสามารถใช้บัญชี ธนาคารของเราในการสมัคร PayPal เพื่อใช้ซื้อสินค้าทางอินเตอร์เนทได้ อีกด้วย




วิธีการสมัคร
1. ลงทะเบียนสมัคร PayPal ที่ www.PalPal.com ให้เลือกแบบ Premier จะดีที่สุด
2. ยืนยันอีเมลที่ได้สมัครไว้ แนะนำใช้ Gmail จะดีที่สุดในการสมัครครั้งแรก
3. เพิ่มบัตรเครดิตเพื่อทำการใช้งาน PayPal ระบบจะขอตัด $1.95 จะคืนให้ก็ต่อเมื่อมีการทำธุรกรรม เกิดขึ้นเช่น การส่งเงินหรือรับเงิน 1 ครั้งก็จะได้เงินคืน หากไม่มีบัตรเครดิต สามารถใช้อีเวบการ์ด สมัครได้
4. นำเลข 4 ตัวที่ได้จาก Statement จากบัตรเครดิต นำมา Verify PayPal
5. หลังจากนั้นให้ดำเนินการส่งเรื่องผูกธนาคาร ดูวิธีการเพิ่มคลิกที่นี่

เพียงแค่นี้ท่านก็ได้ใช้งาน PayPal อย่างเต็มระบบ และสามารถนำไปผูกกับอีเบย์ ขายของได้เลยครับ

* หมายเหตุ : สำหรับคนขายของบนอีเบย์ ต้องยืนยันตัวกับ PayPal ก่อนถึงจะขายของได้ เป็นกฎของอีเบย์ในเมืองไทยได้กำหนดขึ้นมา หากใครไม่มีการยืนยัน จะมีความเสี่ยงในการถูกระงับได้ *

ค่าธรรมเนียม PayPal
ทาง PayPal นั้นได้กำหนดกฎไว้ในการเสียค่าธรรมเนียมโดยเราจะเสียอะไรบ้าง มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ในกรณีสมัครแบบ Premium และ Business ทุกครั้งที่มีการรับเงินจะต้องเสียค่าธรรมเนียมให้กับ PayPal โดยจะมีอยู่ 2 เรทดังต่อไปนี้

1. หากรับเงินภายในประเทศด้วยกัน จะเสียค่าธรรมเนียม 3.4% + $0.30 โดยทุก $100 ต้องเสียค่าธรรมเนียมให้กับ PayPal จำนวน $3.70

2. หากรับเงินจากนอกประเทศ จะเสียค่าธรรมเนียม 3.9% + $0.30 โดยทุก $100 ต้องเสียค่าธรรมเนียมให้กับ PayPal จำนวน $4.12

* หมายเหตุ : Personal จะไม่เสียค่าธรรมใดๆ ในการรับเงิน แต่ เงินนั้นต้องถูกส่งจาก บัญชี PayPal กับบัญชี PayPal เท่านั้น โดยจะสามารถรับเงินผ่านจากเครดิตการ์ดได้ จำนวน 5 ครั้งต่อปีเท่านั้น ซึ่งมีค่าธรรมเนียมการรับเงินผ่านเครดิตการ์ด 5.4%+$0.30$ *


ค่าธรรมเนียมในการถอนเงิน
หากออกเงินต่ำกว่า 5,000 บาท เสียค่าธรรมเนียม 50 บาท
หากถอนเงินมากกว่า 5,000 บาทขึ้นไป ไม่เสียค่าธรรมเนียมใดๆ

* ระยะเวลาในการโอนจะใช้เวลา 5-7 วัน ในการส่งเงินเข้าสู่บัญชีของท่าน *