Search This Blog

Sunday, 23 December 2012

บัตรเครดิตกับบัตรเดบิต


รูปจากอินเตอร์เนท

บัตรเครดิต 
ให้นิยามอย่างง่ายๆ คือ เอาของมาก่อนแล้วจ่ายเงินทีหลัง เป็นการนำเงินจากสถาบันการเงินที่อนุมัติบัตรเครดิตมาใช้ก่อนแล้วจึงผ่อนชำระค่าทีหลังโดยบัตรเครดิตเป็นบัตรที่รองรับจากสถาบันการเงินทั่วโลกสามารถใช้จ่ายได้เกือบทุกประเทศทั่วโลก

ข้อดีของบัตรเครดิต

  • ในกรณีที่เงินสดไม่เพียงพอซื้อสินค้าหรือใช้บริการเราสามารถใช้บัตรเครดิตเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการนั้นก่อนได้แล้วจึงไปชำระค่าสินค้าหรือบริการทีหลัง
  • มีโปรโมชั่นต่างๆ มากมาย เช่น ลดค่าน้ำมัน , ลดค่าอาหาร ฯลฯ
  • เป็นเสมือนวงเงินสำรองเวลาฉุกเฉินต้องใช้เงิน
  • ใช้ซื้อสินค้าหรือใช้บริการทางอินเตอร์เนท
  • ไม่ต้องใช้เงินสดในการบริการหรือซื้อสินค้า
  • ไปต่างประเทศไม่ต้องพกเงินสดไปเยอะ (ใช้บัตรเครดิตได้)


ข้อเสียของบัตรเครดิต

  • ถ้าไม่ควบคุมค่าใช้จ่ายให้ดีจะทำให้เป็นหนี้ได้ง่าย
  • บัตรเครดิตมีค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยด้วยต้องศึกษาให้ดี
  • ถูกขโมยไปใช้ได้ง่ายถ้าไม่ระวัง
  • ข้อมูลบัตรเครดิตเชื่อมโยงกันถ้าผิดชำระหนี้จะกระทบกับเครดิตของผู้ถือบัตร ซึ่งอาจต้องใช้เวลาพอสมควรในการลบเครดิตที่เสีย



บัตรเดบิต
หลายๆ ธนาคาร เวลาลูกค้าเลือกใช้ บัตร atm แล้วโดยมากจะมีบริการทำเป็น เดบิต ได้ด้วย เปรียบเสมือนการถอนเงินสดออกมาจากบัญชีของธนาคารเจ้าของบัตร โดยจำนวนเงินที่จ่ายไปจากการซื้อสินค้าหรือบริการจะถูกหักทันทีจากธนาคาร ดังนั้นถ้าไม่มีเงินฝากในธนาคารหรือเงินในธนาคารเจ้าของบัตรเหลือน้อยกว่ามูลค่าสินค้าหรือบริการจะไม่สามารถซื้อสินค้าหรือบริการนั้นได้

ข้อดีของบัตรเดบิต

  • ควบคุมการเป็นหนี้ได้ดีกว่าบัตรเครดิต (เพราะต้องหักบัญชีธนาคารทันทีทำให้ไม่มีทางเป็นหนี้ได้เลย)
  • ไม่ต้องพกเงินสดแค่มีเงินฝากในธนาคารเจ้าของบัตรเดบิตก็สามารถซื้อสินค้าหรือบริการได้แล้ว
  • ถึงถูกคนขโมยบัตรเดบิตไปใช้ ก็ใช้ได้แค่จำนวนเงินที่อยู่ในธนาคารเท่านั้น


ข้อเสียของบัตรเดบิต

  • ใช้ซื้อสินค้าหรือบริการทางอินเตอร์เนทไม่ได้
  • วงเงินจำกัดแค่ในบัตร ถ้าสินค้าหรือบริการที่ต้องการซื้อมีราคาสูงกว่าจะไม่สามารถซื้อหรือใช้บริการได้



Wednesday, 19 December 2012

PayPal คือ


รูปจากอินเตอร์เนท


PayPal คือ
สื่อกลางในการซื้อขายของ เช่นเดียวกับเครดิตการ์ด แต่บางคนอาจจะสงสัยว่า
"งั้นใช้เครดิตการ์ดโดยตรงไม่สะดวกกว่าหรืองัย" 
ใช่ครับ การใช้บัตรเครดิตโดยตรงนั้นสะดวกกว่าอยู่แล้วไม่ต้องสมัครอะไรเพิ่มเติมให้ยุ่งยากด้วย แล้วเราก็จะเริ่มสงสัยว่า
"ทำไมถึงต้องใช้ตัวกลาง (PayPal) ในการจ่ายเงิน?"
 แต่พอคิดกลับกันในกรณีที่เราจะซื้อของจากที่หนึ่งซึ่งเราไม่คุ้นเคยมาก่อน เราคงไม่อยากบอกเบอร์บัตรเครดิตของเราให้ผู้ขาย(ซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ เป็นโจรแฝงตัวมาหรือเปล่าก็ไม่ทราบ) แต่กับ PayPal ซึ่งเป็นบ.นายหน้าอาชีพ เขามีชื่อเสียง และคงไม่โกงบัตรเครดิตเราแน่นอน

ยังมีข้อดีอีกอย่างหนึ่งคือ สำหรับคนที่ต้องการซื้อสินค้าบนอินเตอร์เนท แต่ไม่มีบัตรเครดิตการ์ด (ทางอินเตอร์เนท นิยมใช้การซื้อขายผ่านทางบัญชีบัตรเครดิต กับ Paypal) เราสามารถใช้บัญชี ธนาคารของเราในการสมัคร PayPal เพื่อใช้ซื้อสินค้าทางอินเตอร์เนทได้ อีกด้วย




วิธีการสมัคร
1. ลงทะเบียนสมัคร PayPal ที่ www.PalPal.com ให้เลือกแบบ Premier จะดีที่สุด
2. ยืนยันอีเมลที่ได้สมัครไว้ แนะนำใช้ Gmail จะดีที่สุดในการสมัครครั้งแรก
3. เพิ่มบัตรเครดิตเพื่อทำการใช้งาน PayPal ระบบจะขอตัด $1.95 จะคืนให้ก็ต่อเมื่อมีการทำธุรกรรม เกิดขึ้นเช่น การส่งเงินหรือรับเงิน 1 ครั้งก็จะได้เงินคืน หากไม่มีบัตรเครดิต สามารถใช้อีเวบการ์ด สมัครได้
4. นำเลข 4 ตัวที่ได้จาก Statement จากบัตรเครดิต นำมา Verify PayPal
5. หลังจากนั้นให้ดำเนินการส่งเรื่องผูกธนาคาร ดูวิธีการเพิ่มคลิกที่นี่

เพียงแค่นี้ท่านก็ได้ใช้งาน PayPal อย่างเต็มระบบ และสามารถนำไปผูกกับอีเบย์ ขายของได้เลยครับ

* หมายเหตุ : สำหรับคนขายของบนอีเบย์ ต้องยืนยันตัวกับ PayPal ก่อนถึงจะขายของได้ เป็นกฎของอีเบย์ในเมืองไทยได้กำหนดขึ้นมา หากใครไม่มีการยืนยัน จะมีความเสี่ยงในการถูกระงับได้ *

ค่าธรรมเนียม PayPal
ทาง PayPal นั้นได้กำหนดกฎไว้ในการเสียค่าธรรมเนียมโดยเราจะเสียอะไรบ้าง มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ในกรณีสมัครแบบ Premium และ Business ทุกครั้งที่มีการรับเงินจะต้องเสียค่าธรรมเนียมให้กับ PayPal โดยจะมีอยู่ 2 เรทดังต่อไปนี้

1. หากรับเงินภายในประเทศด้วยกัน จะเสียค่าธรรมเนียม 3.4% + $0.30 โดยทุก $100 ต้องเสียค่าธรรมเนียมให้กับ PayPal จำนวน $3.70

2. หากรับเงินจากนอกประเทศ จะเสียค่าธรรมเนียม 3.9% + $0.30 โดยทุก $100 ต้องเสียค่าธรรมเนียมให้กับ PayPal จำนวน $4.12

* หมายเหตุ : Personal จะไม่เสียค่าธรรมใดๆ ในการรับเงิน แต่ เงินนั้นต้องถูกส่งจาก บัญชี PayPal กับบัญชี PayPal เท่านั้น โดยจะสามารถรับเงินผ่านจากเครดิตการ์ดได้ จำนวน 5 ครั้งต่อปีเท่านั้น ซึ่งมีค่าธรรมเนียมการรับเงินผ่านเครดิตการ์ด 5.4%+$0.30$ *


ค่าธรรมเนียมในการถอนเงิน
หากออกเงินต่ำกว่า 5,000 บาท เสียค่าธรรมเนียม 50 บาท
หากถอนเงินมากกว่า 5,000 บาทขึ้นไป ไม่เสียค่าธรรมเนียมใดๆ

* ระยะเวลาในการโอนจะใช้เวลา 5-7 วัน ในการส่งเงินเข้าสู่บัญชีของท่าน *


Thursday, 6 September 2012

บัตรเครดิตการ์ดเสมือนจริง


รูปจากอินเตอร์เนท

บัตรเครดิตการ์ดเสมือนจริง (Virtual Credit Card) เป็นเครดิตการ์ดชนิดหนึ่งที่ออกแบบมาสำหรับการจับจ่ายใช้สอยทางอินเตอร์เนทโดยเฉพาะ โดยบัตรเครดิตเสมือนจริง นี้ จะไม่มีตัวบัตรออกมานะครับ จะมีแต่เลขบัตรเครดิต 16 หลัก กับเลขรหัสความปลอดภัย 3 หลักเท่านั้น
การทำธุรกรรมทางอินเตอร์เนท โดยปกแล้วการซื้อขายสำหรับคนไทยมักใช้บัญชีธนาคารเป็นส่วนใหญ่ (ซึ่งบางคนกลัวการใช้งานบัตรเครดิต ไปแล้วหลังจากบทเรียนฟองสบู่แตกเมื่อปี 2540) แต่มักจะมีขีดจำกัดที่ว่าจะใช้ได้เฉพาะการซื้อของในประเทศไทยเท่านั้น ถ้าจะสั่งของจากต่างประเทศมักจะต้องใช้เครดิตการ์ด เท่านั้น
แต่เราเงินเดือนไม่ถึงสมัครบัตรเครดิตไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ  -*-
คำตอบคือ "บัตรเครดิตการ์ดเสมือนจริง - Virtual Credit Card" ครับ
เราสามารถสมัคร บัตรเครดิตการ์ดเสมือนจริง ได้เพื่อใช้ซื้อของทางอินเตอร์เนทได้ โดยมีข้อดีกว่าบัตรเครดิต ธรรมดาตรงที่

  • ใช้เฉพาะซื้อของทางอินเตอร์เนทเท่านั้น
  • จำกัดวงเงินใช้ได้ง่ายกว่า อย่างเช่น ซื้อบัตรเครดิตเสมือนจริง ของ paypal ราคา 50$ เราก็จะได้ บัตรเครดิตเสมือนจริง ที่มีวงเงิน 50$ ครับ

สำหรับธนาคารในประเทศไทยมีบางที่ออกบัตรเครดิตการ์ดเสมือนจริง ให้ได้เหมือนกันครับ เช่นที่

  • ธนาคารกสิกรไทย (บัตร K-Web Card) เป็นการผูกวงเงินของบัตร เข้ากับบัญชีธนาคารของลูกค้า
  • ธนาคารกรุงเทพ (บัตร Be1st)
สำหรับในอินเตอร์เนทก็มีเจ้าใหญ่ที่ให้บริการอยู่ครับ
  • Paypal Virtual Credit Card 
  • Ebay Virtual Credit Card 
  • iOffer Virtual Credit Card for 
  • Amazon Virtual Credit Card for 
หวังว่าข้อมูลเบื้องต้นของ เครดิตการ์ดเสมือนจริง จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจ และไม่ต้องกลัวการซื้อของจากอินเตอร์เนทนะครับ

Sunday, 22 July 2012

บัตรประเภทชาร์จการ์ดและเครดิตการ์ด

บัตรประเภทชาร์จการ์ดและเครดิตการ์ด

 

หากท่านใช้จ่ายอย่างถูกวิธี บัตรประเภทเครดิตการ์ดหรือชาร์จการ์ด สามารถอำนวยความสะดวกให้กับท่านได้อย่างมากมาย อีกทั้งยังมอบสิทธิประโยชน์รวมไปถึงความคุ้มครองอีกด้วย

  

บัตรประเภทเครดิตการ์ดคืออะไร


บัตรประเภทเครดิตการ์ด  คือการให้วงเงินหมุนเวียน  ซึ่งหมายถึงท่านสามารถยกยอดใช้จ่ายคงเหลือไปยังเดือนถัดไปได้ โดยไม่จำเป็นต้องชำระเต็มจำนวน

แต่ละครั้งที่ท่านใช้บัตรเครดิต หมายถึงท่านกำลังใช้บริการเงินกู้ โดยผู้ออกบัตรจะกำหนดว่าอย่างน้อยท่านต้องทำการชำระยอดใช้จ่ายขั้นต่ำภายใน กำหนดชำระแต่ละเดือนเท่าไร

หากท่านชำระยอดใช้จ่ายเต็มจำนวนภายในกำหนดชำระอย่างสม่ำเสมอ ดอกเบี้ยจะไม่ถูกคำนวณบนยอดใช้จ่ายใดๆ ของท่าน แต่หากท่านเลือกที่จะยกยอดใช้จ่ายบางส่วนไปยังเดือนถัดไปหรือชำระล่าช้า ดอกเบี้ยจะถูกคำนวณและเรียกเก็บบนบัญชีบัตรของท่าน โดยเริ่มคำนวณจากวันที่ร้านค้าทำการเรียกเก็บยอดใช้จ่ายมายังผู้ออกบัตร ดอกเบี้ยจะถูกเรียกเก็บบนยอดคงค้างชำระและรายการเบิกถอนเงินสดโดยเริ่มนับ จากวันที่ทำรายการ

เคล็ดลับ: ในกรณีที่ท่านยกยอดใช้จ่ายไปยังเดือนถัดไปการชำระยอดคงค้างก่อนวันครบกำหนด ชำระรายเดือน จะช่วยให้ท่านประหยัดการจ่ายดอกเบี้ยได้

 

บัตรประเภทชาร์จการ์ด คืออะไร

บัตรประเภทชาร์จการ์ดนั้นแตกต่างจากบัตรประเภทเครดิตการ์ด ตรงที่บัตรประเภทชาร์จการ์ดนั้นกำหนดให้ในแต่ละเดือนท่านต้องชำระยอดใช้จ่ายเต็มจำนวน ท่านจึงสามารถบริหารค่าใช้จ่าย และการเงินของท่านได้ง่ายดายยิ่งขึ้น และท่านไม่จำเป็นต้องเสียดอกเบี้ย หากท่านชำระค่าใช้จ่ายเต็มจำนวนทุกเดือน

มากไปกว่านั้น บัตรประเภทชาร์จการ์ดจะนำเสนอพร้อมหลากหลายรูปแบบของของรางวัลอีกด้วย

ที่มา : https://www212.americanexpress.com

Monday, 9 July 2012

คดีบัตรเครดิต(3)


ขึ้นศาลครั้งแรก
ประสบการณ์ของลูกหนี้บัตรเครดิตคนหนึ่งที่ไปทำสัญญาเงินกู้ไว้ แต่หาเงินใช้คืนได้ไม่ทันต้องถูกฟ้องร้องเป็นคดีแพ่ง หลายคนอาจจะวิตกเมื่อชีวิตต้องมาถึงขั้นนี้ แต่บางทีก็อาจจะมองด้านร้ายเกินการณ์ก็เป็นได้ ทางสว่างย่อมมีเสมอเมื่อใช้สติปัญญาแก้ไขปัญหา

"ผมต้องไปศาล ครั้งแรกในชีวิต คนเดียวตามลำพัง"

เวลา 12.45 น.
ผมถึงศาล.. เดินเข้าไปแบบ เงอะงะ เข้าไปห้องการเงิน ถามป้าคนหนึ่ง (พนักงานในศาล) ผมจะมาจ่ายค่าแต่งทนายครับ ป้าแกตอบว่าไปที่โต๊ะนั้น เลยลูก พร้อมชี้มือไป.. คำว่าลูก ที่แกเรียกผม ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาเยอะเลย อธิบายไม่ถูก ขอขอบคุณ ป้าคนนั้นมา ณ.ที่นี่ด้วยครับ...

เวลา 13.15 น.
หลังจากที่ผมจ่ายค่าแต่งทนายเสร็จ ก็เดินไปตรวจสอบรายชื่อ ว่าเราต้องไปพิจารณา ที่ห้องไหน ปรากฏว่า ผมต้องไปที่ ห้องที่ 3 ดูจากรายชื่อแล้ว คดีเดียวกัน เป็น10 คนเลย (โดน City Bank ฟ้อง).. พอผมเข้าเจอผู้หญิง 2 คน นั่งอยู่ใน คอกข้าง ๆ (ไม่รู้ว่าเขาเรียกว่าอะไรนะ ขอเรียกคอก ละกัน) ผมเลยถามว่า ผมจะยื่นคำให้การที่ไหนครับ เขาก็ใจดีนะ บอกผมว่า เดี๋ยวหน้า บัลลังก์ มาก็ยื่นให้เขาเลยนะคะ (ที่หน้าผู้พิพากษาจะมีคนนั่งอยู่ 1 คนเรียกว่าหน้าบัลลังก์ คงคล้ายๆกับ เลขา) ผมนึกในใจ มาศาลวันนี้เจอแต่คนใจดี ๆ ทั้งนั้น ผมเดินแอบหลบไปนั่งที่เก้าอี้ ซึ่งมีคนนั่งอยู่หลายคน... ซักพักผู้หญิง 2 คนนั้นก็เดิน ถามคนโน้นคนนี้ ว่าจะยอมความไหมค่ะ ทางธนาคารจะลดดอกให้นะคะ ให้ส่งเดือนละ1000 นะคะ ปลอดดอกเบี้ย 1 ปีค่ะ ถ้ายอม เซ็นตรงนี้นะคะ... ผมจึงถึงบางอ้อ ผู้หญิง 2 คนนี้ เป็นทนายของ city bank ผมก็ได้แต่นั่งเฉยๆ ดูคนโน้น คนนี้ เซ็นยอมความกัน... สรุป 10 กว่าคน มีผมยื่นคำให้การสู้คดี คนเดียว ผมถามคนอื่นว่า ทำไมพวกพี่ไม่สู้คดีล่ะครับ ส่วนใหญ่จะตอบว่าถ้าสู้คดี ก็ต้องจากทนาย 6000-7000 บาท เป็นหนี้ แค่4-5 หมื่น ก็ทนๆ จ่ายมันไป บางคนก็ไม่รู้ว่าจะไปจ้างทนายยังไง บางคนก็บอกว่านึกว่าที่ศาลมีทนายไว้ค่อยช่วยอยู่แล้ว...( แสดงว่ายังมีลูกหนี้อีกเยอะที่ยังขาดความรู้ในข้อกฎหมาย หรือ ไม่รู้ว่าสามารถจะสู้คดี เพื่อให้ศาลช่วยเหลือ ในเรื่องของการตัดดอกเบี้ย...ค่าติดตาม ทิ้งหลังจากพิจารณาเสร็จแล้ว )

เวลา 13.30 น.
มีผู้หญิงสูงอายุเดินเข้ามานั่งที่ หน้าบัลลังก์ ผู้หญิง 2 คนนั้น(ทนายCITY bank) ก็เรียกผม คุณ ๆ หน้าบัลลังก์มาแล้ว ยื่นคำให้การได้เลยค่ะ (เขายังไม่รู้ว่าผม ก็เป็นจำเลยของเขาคนหนึ่ง)..พอผมเดินไปยื่นคำให้การ หน้าบัลลังก์ ก็ถามผม คดีอะไร ผมตอบ เงินกู้ของCity bankครับ พอทนายของCity bank ได้ยิน ก็มองหน้ากัน (คงจะนึกในใจไม่น่าช่วยมันเลย อิ อิ อิ จะขอให้ยอมความตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว ยื่นคำให้การแล้ว อิ อิ) แต่ปัญหาของผมตอนนี้คือ ยายป้าหน้าบัลลังก์ แกถามผมแบบไม่เกรงใจเลย เช่น ยื่นคำให้การจะสู้คดีเขาหรือไง ไม่ได้ยืมเงินเขามาหรือไงถึงจะสู้คดี หรือว่าชาตินี้ไม่เคยยืมเงินเขามาเลย.... (แหมถ้าเป็นคนแถวบ้านถามจะโดดเตะก้านคอสักที)

เวลา14.00 น.
ผู้พิพากษา ขึ้นบัลลังก์ ท่านเรียกผมเป็นคนแรกเลย เพราะผมสู้คดีคนเดียว ท่านถามว่า ว่าไงเราจะสู้คดีเขาเหรอ ทนายมาไหมล่ะ ผมตอบทนายไม่มาครับ ติดคดีศาลอื่น ท่านก็หัวเราะและก็บอกว่าเอ้า แล้วจะทำยังไงล่ะเนี้ย ไม่ฟังข้อเสนอของโจทย์ เขาก่อนเหรอ แล้วค่อยคิดว่าจะสู้คดีหรือไม่สู้ ผมตอบท่านว่า ผมขอปรึกษาทนายก่อนครับ (ตามสคริปที่คุณทนายของผมบอกมาทุกอย่าง).. ท่านก็บอกว่า เอ้า ตัวของเรา เราตัดสินใจเองไม่ได้เหรอ ผมก็หัวเราะแฮะๆ ทนายของCity bank ก็บอก ศาลว่า ขออนุญาต บอกข้อเสนอกับผม ศาลก็อนุญาต ทนายบอกว่ายอดฟ้อง 61,332 ลดให้เหลือ 50,000 ผ่อน 2 ปีไม่มีดอกเบี้ย... ศาลก็ถามผมว่า ว่าไงสนใจไหม เขาลดให้ 10,000 กว่าเชียวนะ เอาไหม (พวกคนอื่นๆ ที่ยอมความ ร้องอือฮือ เสียดายกันใหญ่ เพราะตัวเอง ยอมความและได้ส่วนลด 1,000-2,000 บาท ส่งเดือนละไม่ต่ำกว่า 1,500 ปลอดดอกเบี้ย 1 ปี แค่นั้น) ส่วนผม ลดให้ 11,332 บาท ส่งไม่ต่ำกว่า 1,000 ปลอดดอกเบี้ย 2 ปี... ผมเริ่มคิดหนัก เหมือนกัน.... ข้อเสนอก็น่าสนใจ ยืนคิดนานเลย แต่นึกถึงสิ่งที่คุณทนายบอกว่า City bank เขาคิดดอกเบี้ยคนเกินมาตลอด ผมจะสู้คดีให้คุณ จนถึงที่สุด ก็เลยตัดสินใจ (ตายเป็นตายว่ะ) บอกศาลไปว่า ขอสู้ครับ ศาลก็บอกว่า งั้นก็ตามใจ วันนี้ทนายไม่มาคงทำอะไรไม่ได้ งั้นเลื่อนนัด สืบพยานเลยล่ะกัน ทนายให้วันว่างมาไหม ผมเลยเอาวันว่างของคุณทนาย ให้ทนายของอีกฝ่ายกับศาลดู สรุป นัดสืบพยานเป็น 2 พ.ย 48

เวลา 15.00 น.
กลับจากศาล....โล่งใจไป.. ไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่คิด หันไปมองศาล คิดในใจ อีก 2 เดือนกว่า ๆ จะมาใหม่ แล้วจะมาอยู่เรื่อยๆ.. เพราะยังมีหนี้อยู่อีก 6-7 ใบ ที่เข้าคิวฟ้องอยู่ คิดในใจ หนีก็ตาย ไม่หนี อาจจะตาย หรือ ไม่ตาย ก็ได้... สู้มันต่อไป เพื่อ สันติสุขของ ครอบครัวจะกลับคืนมา...

จาก Somdech 
เครดิต : http://www.lukkid.com/debt/debt07.html 

Monday, 2 July 2012

ประวัติบัตรเครดิต


ประวัติความเป็นมาของ บัตรเครดิต


ในยุคเริ่มแรกของสังคมมนุษย์นั้นยังเป็นยุคสังคมเกษตรกรรมเป็นสังคัมที่มี การติดต่อสัมพันธ์กันในวงจำกัด ผู้คนในสังคมได้เป็นที่รู้จักกันมีความรู้และรับรู้ถึงสภาพฐานะทางสังคมและ ฐานทางเศรษฐกิจ บ้านใดมีความมั่นคงและร่ำรวยเป็นผู้ที่ได้รับการเชื่อถือในวงสังคมของผู้คน ในสังคมเดียวกัน การซื้อขายติดต่อกันก็เป็นไปอย่างง่ายๆเป็นการแลกเปลี่ยนตลอดจนมีการซื้อขาย ด้วยเงินตรา ซึ่งก็มีรัฐบาลเป็นผู้ประกันความเชื่อถือและความมั่นคง
ประเทศที่คิดค้นและนำบัตรเครดิตมาใช้เป็นประเทศแรกคือ ประเทศสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ.1914 โดยบริษัทเยอเนอรัลปิโตรเลียม คอร์เปเรชั่น ออฟแคลิฟอร์เนีย(ปัจจุบัน คือ บริษัท โมบิลออยส์จำกัด) ได้ออกบัตรเครดิตชนิด หนึ่งแก่พนักงานของบริษัทและลูกค้าของตนบางรายที่ได้รับเลือกสรรแล้วให้ใช้ บัตรดังกล่าวแทนเงินสดได้โดยสามารถนำไปใช้ชำระค่าน้ำมันเชื้อเพลิง แต่ใช้ได้เฉพาะในกลุ่มของตนเองเท่านั้น นำไปใช้กับบุคคลอื่นไม่ได้และบัตรเครดิตฉบับแรกนี้ มีลักษณะเป็นเหรียญโลหะ
ต่อมาในปี ค.ศ.1920 บริษัท ที่จำหน่ายน้ำมันก็ได้ออกบัตรในทำนองนี้ให้แก่ลูกค้าเพื่อเป็นการอำนวยความ สะดวก ต่อมาได้รับความนิยมมากขึ้นก็มีการขยายตัวของการออกบัตรเครดิต ไปใช้ซื้อสินค้าและบริการในสินค้าอื่นๆ มากขึ้น
ในปี ค.ศ.1950 นายแฟรงค์ แมคนามารา นักธุรกิจชาวนิวยอร์คได้รับประทานอาหารเย็นที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง แล้วลืมพกกระเป๋าเงินติดตัวไปจึงไม่มีเงินชำระค่าอาหาร ต้องโทรศัพท์ให้ภรรยานำเงินไปให้จากเหตุการณ์นี้เองทำให้เขาคิดว่าน่าจะมี บัตรพิเศษใช้แทนเงินได้ เขาจึงนำความคิดนี้ไปหารือกับนาย ราล์ฟ ชไนเดอร์ ทนายความที่ปรึกษาของเขาว่าวิธีการดังกล่าวจะมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด และ ในที่สุดทั้งสองจึงได้จัดตั้ง บริษัท ไดเนอร์สคลับ ออกบัตรเครดิตเพื่อใช้ในการซื้อสินค้าและบริการแทนการชำระด้วยเงิน ซึ่งคำว่า diners นั้นมาจากคำว่า dinner ที่แปลว่าอาหารเย็นนั้นเอง
บริษัทเอกชนอีกหลายบริษัทได้ออกบัตรเครดิต โดยในปีค.ศ1958 บริษัทอเมริกันเอ็กซ์เพรส จำกัด ได้ออกบัตรเครดิต อเมริกัน เอ็กซ์เพรส
ในปี ค.ศ.1959 ธนาคาร อเมริกันเอ็กซ์เพรสจำกัด ได้ออกบัตรเครดิต ชื่อ bank americaed ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “VISA CARD”
ในปี ค.ศ.1966 กลุ่ม inter bank ในสหรัฐอเมริกาได้ออกบัตรเครดิต ชื่อ master-charge ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็น “master casd”
ที่มา สุรเชษฐ ชีรวินิจ

Saturday, 30 June 2012

คดีบัตรเครดิต(2)


  เรื่องราวมีอยู่ว่า ผมเป็นหนี้ซิตีประมาณ 62000 หยุดจ่ายไปประมาณ 4 เดือน

ทางซิตี้ก็เลยเสนอส่วนลดให้ผม 50 เปอร์เซนต์ พร้อมลดดอกเบี้ยและค่าปรับ ตอนแรกที่รู้อย่างนี้ ผมก็ตาลุกวาว บอกตรงๆว่าดีใจมากเลยละครับ เค้าบอกว่าให้ผ่อนจ่าย 3 งวด งวดละ 9000 รวมๆแล้วก็ 27000 บาทถ้วน ซึ่งลดดอกเบี้ยและค่าปรับแล้วจึงเหลือ 27000 บาทถ้วน ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ดีมากๆเลยทีเดียว เป็นใครก็เอา จริงมั๊ยครับ

แต่เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า ผมจ่ายให้เดือนละ 9000 ไม่ไหว เงินเดือนผม 13000 เอง ไหนจะค่าเช่าคอนโด ค่าครองชีพอีกจิปาถะ

ผมก็เลยบอกทางซิตี้ไปว่า ไม่ไหวจริงๆ ขอยืดระยะเวลาการจ่ายให้มันยาวกว่านี้ได้มั๊ย ผมสนใจข้อเสนอคุณมาก แต่จ่ายยังไม่ไหวเพราะมันเยอะไป เค้าก็เลยบอกขอไปคุยกับหัวหน้า อีก 1 อาทิตย์จะติดต่อกลับมาใหม่

1 อาทิตย์ผ่านไป ไวเหมือนโกหก เค้าได้โทรติดต่อกลับมา พร้อมกับข่าวดีครับ ผมสุดแสนจะดีใจยิ่งกว่าครั้งแรกซะอีก เค้าเสนอให้ผมจ่าย 10 งวด งวดละ 3200 รวมทั่งสิ้นก็ 32000 บาทถ้วน ซึ่งมากกว่าตอนแรก 5000 บาท แต่ก็เอาเถอะ เค้าอุตส่าห์ยืดระยะเวลาให้เรา และชำระต่อเดือนน้อยลงเยอะ ผมจึงตัดสิ้นใจรับปากเค้าไป โดยที่ผมคุยตกลงกับเค้าว่าขอเอกสารยืนยันเป็นรายลักษณ์อัษรด้วย ตามที่ทางทีมงานปลดหนี้ได้แนะนำผมมา เค้าจึงนัดเจอกับผม วันที่ 30 กันยายน ที่ซิตี้ สาขาโชคชัย 4 ซึ่งใกล้ที่ทำงานผมเอง

เมื่อวันที่ 30 กันยายน ผมจึงไปตามนัด พร้อมด้วยเงินจำนวน 3200 ตามที่ตกลงกันไว้ แต่พอมาถึงที่ซิตี้เค้าก็จะให้ผมจ่ายอย่างเดียวเลย จนผมบอกว่าขอเอกสารยืนยันของซิตี้ด้วยว่าแบ่งจ่าย 10 งวด งวดละ 3200 จริง ทางซิตี้บอกว่า เอกสารจะเป็นใบเสร็จรับเงินชั่วคราวก่อน แล้วจึงจะส่งเอกสารตัวจริงไปให้ที่บ้าน พร้อมรายละเอียดการชำระต่างๆด้วย ผมจึงบอกเค้าว่า ถ้าไม่มีเอกสารยืนยันให้ดู ผมก็ยังไม่จ่าย เค้าจึงหยิบเอกสารซึ่งพิพม์ด้วยกระดาษ A4 มาให้ผมดู ในเอกสารนั่นได้ยืนยันว่าทางหัวหน้าเค้าได้เซนต์อนุมัติให้จ่ายเงินจำนวน 32000 โดยแบ่งจ่ายเป็นงวด งวดละ 3200 จำนวน 10 งวด และมีรายเซนต์อนุมัติ ซึ่งผมไม่รู้เลยว่าเป็นลายเซนต์หัวหน้าเค้าจริงๆหรือเปล่า ผมจึงขอเอกสารฉบับนั้นไปถ่ายเอกสาร แต่ทางเจ้าหน้าที่เค้าบอกว่า เป็นเอกสารลับเฉพาะของทางบริษัทไม่สามารถให้ได้ คือสรุปผมได้เอกสารฉบับเดียวคือเอกสารการจ่ายเงินจำนวน 3200 เท่านั้นเอง

ผมรู้สึกแปลกใจก่อนจ่ายแล้วเชียว แต่ก็พยายามนึกไปทางที่ดี เพราะเค้าบอกว่าไม่ต้องกลัวหรอก รับรองว่าคุณจ่ายเงินแค่ 3200 10 งวด เท่านั้นเอง ทางซิตี้เค้ามีนโยบายพิเศษให้สำหรับคนที่ไม่ไหวจริงๆ

เฮ้ออออออออออ ไม่น่าไปจ่ายให้มันเลยนะวันนั่นอ่ะ ผมโดนมันหลอกซะแล้วละครับพี่น้องเฮ้ย

ตั้งแต่วันที่ผมจ่ายจนมาถึงวันนี้ วันที่ 8 ตุลาคม เมื่อตอนประมาณ 5 โมงเย็น เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี่เอง ทางเจ้าหน้าที่ซิตี้แบงค์เค้าได้โทรมาหาผม และสอบถามว่าคุณได้จ่ายค่างวดให้ทางเรารึยังค่ะ ผมก็ตอบไปว่า อ้าวววววว ทางคุณไม่ได้ประสานงานกันเหรอครับ ผมได้รับข้อเสนอกับทางซิตี้ไปแล้วนะ และจ่ายไปแล้วด้วยเป็นเงินจำนวน 3200 บาท เค้าก็ตอบมาว่า ไม่นิค่ะ ไม่เห็นมีใครยื่นเรื่องเข้ามาเลย ยอดก็ยังไม่เห็น พอพูดเสร็จ ผมก็บอกไปว่า อ้าววว แล้วอย่างงี้มันหมายความว่าไงกัน ผมมีเอกสารยืนยันการจ่ายด้วย คราวนี้ผมก็เล่าเรื่องราวต่างๆที่ผมได้รับข้อเสนอมาให้ทางเจ้าหน้าที่คนนี้ฟังหมดเปลือก จนเค้าบอกว่าแป๊บนะค่ะ ขอเช็คข้อมูลทางสาขาก่อน เงียบไปสักพัก เค้าก็ตอบมาว่า อ๋อ เงิน 3200 เข้าระบบแล้วค่ะ แต่ทางเราไม่มีข้อเสนอแบบนี้นะ คราวนี้ผมก็ยิ่งมึนละสิ ทำไรไม่ถูกเลยละ ได้แต่อุทานในใจ เอาแล้วสิ เราโดนเข้าแล้วสิ อุตส่าห์เอาเงินค่าครองชีพทั้งเดือนไปจ่ายให้มันเลยนะเนี๊ย กรรม แล้วผมก็ขอวางสายไปเพราะติดธุระสำคัญ ฉี่ราดกางเกงเลยละงานนี้

พออีกสัก 10 นาทีเห็นจะได้ คราวนี้มันบอกว่าจากสำนักงานใหญ่ ซึ่งดูเบอร์แล้วเป็นเบอร์ 02-....... ตรวจสอบดูแล้ว ว่าใหญ่จริงๆ มันพูดจาหมาๆมากเลยละ เสียดายที่ผมไม่ได้อัดเทปตั้งแต่แรกๆ เพราะโทรศัพท์ผมมันรุ่นเก่านะ ไม่สามารถอัดเทปการสนทนาได้

มันร่ายยาวเลยละ พอจับใจความสำคัญได้ว่า ทางผมไม่มีทางที่จะยื่นข้อเสนอแบบขาดทุนแบบนี้ให้ลูกค้าหรอกนะ คุณเอาสหมองตรงส่วนไหนมาคิดละ หนี้ตั้ง 62000 ลดให้เหลือแค่ 32000 เฮ้อออ กรรม
ครานี้ผมก็เล่นกะมันเป็นชุดเลยละ แล้วก็วางสายไป

ผมคิดว่าพรุ่งนี้ผมจะเข้าไปเล่นไอ้สารเลวที่มันให้ผมจ่าย 3200 จำนวน 10 งวด ที่สาขาโชคชัย4 ซะหน่อย แต่หน้าเสียดายที่ทำไรมันมากไม่ได้ เดี๋ยวเราจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดนมันเล่นงานเอา ผมกะจะเข้าไปต่อว่าถึงเรื่องที่มันเสนอให้ผมซะหน่อย ว่าทำไมมันกลับกลายเป็นเยี่ยงนี้ได้

เรื่องมันยาวหน่อยนะครับ อยากระบายให้เพื่อนๆสมาชิกอ่านไว้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจนะครับ ว่าอย่าไปหลงกลอุบายxxxของมันเป็นอันขาด ต้องได้เอกสารยืนยันให้เป็นที่แน่นอนซะก่อนนะครับ

เซงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

เครดิต : http://www.consumerthai.org/

Thursday, 28 June 2012

คดีบัตรเครดิต(1)



กรณีตัวอย่างคดีบัตรเครดิตที่ลูกหนี้ไม่ต้องชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้
 จากแนวคำพิพากษาฎีกาของไทยที่ผ่านมา ศาลฎีกาได้พิพากษาว่าผู้ออกบัตรเป็นผู้ประกอบธุรกิจในการทการงานต่างๆ ให้แก่ผู้ถือบัตร และการที่ผู้ออกบัตรได้ชำระให้แก่ผู้รับบัตรแทนผู้ถือบัตรไปก่อนแล้วจึงเรียกเก็บเงินจากผู้ถือบัตรในภายหลัง เป็นการเรียกเอาค่าที่ได้ออกเงินทดรองไปก่อน จึงมีกำหนดอายุความ 2 

เช่น บริษัทบัตรเครดิต โจทก์ฟ้องลูกหนี้ให้ชำระเงินเนื่องจากใช้บัตรเครดิตและผิดนัดชำระหนี้ ทวงถามแล้วเพิกเฉย หลังจากนั้นเกิน 2 ปี นับแต่วันที่จำเลยชำระหนี้ครั้งสุดท้าย สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง ลูกหนี้ไม่ต้องชำระหนี้ให้กับโจทก์ เนื่องจากหนี้บัตรเครดิตตามกฎหมายถือว่าเป็นการค้ารับทำการต่าง ๆ ให้แก่สมาชิกและออกเงินไปก่อนและเรียกเอาเงินทดรอง จึงมีอายุความ 2 ปี นับแต่วันผิดนัดชำระหนี้ครั้งสุดท้าย

แบบนี้ เค้าเรียกว่าฟลุ้ค จริงๆ 

อย่าลืมนะครับ อายุความหากจำเลยไม่ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ศาลจะไม่หยิบยกขึ้นเพื่อประโยชน์ของจำเลยนะครับ จำเลยต้องให้การต่อสู้คดีไว้ มิฉะนั้นจะไม่ได้รับประโยชน์จากการขาดอายุความ
            การโอนหนี้ หรือการรับช่วงสิทธิ ไม่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลง
แต่มีบางบัตรเครดิตตัวแสบ พออายุความใกล้ขาด หลอกให้ลูกหนี้โอนชำระหนี้ แค่ร้อยสองร้อย อย่างนี้อายุความเริ่มนับใหม่ครับ
แต่ที่แสบกว่านั้น เมื่อหลอกลูกหนี้ไม่ได้ เจ้าหนี้ยอมโอนเข้าชำระหนี้แทนแค่ร้อยบาท เพื่อให้มีหลักฐานว่ามีการชำระหนี้บางส่วนแล้ว ทำให้อายุความสะดุดหยุดลง ลูกหนี้ก็ไม่เข้าใจ หรือจำไม่ค่อยได้ว่าเคยชำระหนี้บ้างหรือไม่ ถูกฟ้องมา นำสำนวนไปพบทนาย เห็นหลักฐานคร่าวๆว่าคดีไม่ขาดอายุความ จึงไม่ต่อสู้เรื่องอายุความ
ผมเอาเทคนิคของทนายเจ้าหนี้มาเล่ากันฟัง เป็นเรท่องที่พบเห็นบ่อยๆครับ

Thursday, 7 June 2012

เทคนิคการใช้บัตรเครดิต


คราวนี้เราจะลองใช้ประโยชน์จากบัตรเครดิต กันบ้าง นะครับ ผมมีตัวอย่างที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ลองมาดูกันนะครับ เผื่อจะเป็นไกไลน์ว่าจะสามารถใช้บัตรเครดิตให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร
 * ค่าน้ำน้ำมัน การใช้บัตรเครดิต จ่ายค่าน้ำมัน ก็สะดวกสบาย แถมยังได้แต้มสะสม จากการใช้บัตรเครดิตด้วย แต่อย่าลืมเช็คเงื่อนไขของบัตรเกี่ยวกับการเติมน้ำมันก่อน นะ
* ค่าไฟฟ้า ก็ใช้ได้ สามารถใช้บัตรเครดิตได้ด้วย เท่าที่เช็คมาตอนนี้รับบัตรเครดิตของธนาคาร ตามตารางด้านล่าง ครับ

- บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด
- บริษัท เจเนอรัล คาร์เซอร์วิสเซส จำกัด
- บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด(มหาชน)
- บริษัท ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
ข้อมูลเพิ่มเติม
* ค่าน้ำประปา ก็ทำนองเดียวกันกับค่าไฟฟ้า รับบัตรเครดิตของธนาคารตามตารางด้านล่างได้เลย

    ธนาคารกสิกรไทย
    ธนาคารซิตี้แบงก์
    บัตรไดเนอร์สคลับ
   ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้(HSBC)
   ธนาคารแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด
   ธนาคารไทยพาณิชย์
    บัตรเครดิตเทสโก้ วีซ่า

ข้อมูลเพิ่มเติม
* ค่าช้อปปิ้งซุปเปอร์มาเก็ต ยังงัยซะแทบทุกเดือนเราก็ต้องจับจ่ายใช้สอยของใช้เข้าบ้านอย่างน้อย ซัก 1 ครั้ง เราก็ยังหาซุปเปอร์มาเก็ตที่รับบัตรเครดิตได้ และก็ได้แต้มสะสมเพิ่มด้วย
* ค่าอาหาร และเอนเตอร์เทน อีกมากมาย ที่สามารถใช้บริการบัตรเครดิตได้ เท่านี้เราก็สามารถมี ชีวิตที่สบายและใช้จ่ายอย่างรู้คุณค่าได้ด้วยบัตรเครดิต
* อย่าเบิกเงินสดด้วยบัตรเครดิตที่ตู้ ATM เพราะบัตรเครดิตจะคิดค่าธรรมเนียม 3% ของยอดเงินที ่เบิกให้หาทางเลี่ยงเอา เช่น ของไทยพาณิชย์ใช้บริการ DJung Transfer ในการโอนเงินจากบัตรเครดิตเข้าสู่บัญชีธนาคาร ก็ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมแล้ว
* จ่ายคืนเต็มจำนวน ไม่มียอดค้างชำระ ก็จะไม่ต้องเสียค่าดอกเบี้ยบัตรเครดิตแล้ว (ดอกเบี้ยบัตร เครดิตคิดที่อัตรา 20% ต่อปี) * อย่าจ่ายช้ากว่าวันชำระ ถ้าจ่ายช้ากว่าวันชำระจะเสียค่าปรับ 100 - 200 บาท และอาจทำให้ประวัติ ชำระเงินเสียได้ (อาจเสียเครดิตได้)
* ไม่ซื้อของที่คิดค่าบริการเพิ่มจากบัตรเครดิต บางร้านคิดค่าชาร์จเพิ่ม 3-5% ควรเลือกซื้อร้านอื่นที่ ไม่คิดค่าบริการเพิ่มจะดีกว่า

kman

Wednesday, 6 June 2012

สมัครบัตรเครดิต


ตอนนี้คุณอาจจะเริ่มสนใจสมัครบัตรเครดิตดูบ้างแล้ว แต่ต้องมาดูก่อนดีกว่าว่าจะต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ในการสมัครบัตรเครดิต        1. เงินเดือน 15,000 บาท ขึ้นไป เป็นเงินเดือนขั้นต่ำในการที่จะสมัครบัตรเครดิตได้ ทางธนาคารหรือสถาบันการเงินมักให้วงเงินประมาณ สอง เท่าของ เงินเดือน  2. ทำงานมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือน (เพราะธนาคารจะเช็คบัญชีเงินเดือนย้อนหลัง) 3. ไม่มีประวัติ ชำระหนี้ช้า หรือแบล็คลิส 4. อยู่ในบริษัทชั้นนำ หรือเปิดมานานมีชื่อเสียงพอสมควร

ถึงมีคุณสมบัติบางอย่างไม่ครบก็ลองสมัครดูได้ครับไม่เสียหาย เพราะสมัครฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย ใดๆ ทั้งสิ้น

หลักฐานที่ใช้ในการสมัครบัตรเครดิต

        1. สลิปเงินเดือนล่าสุด หรือ หนังสือรับรองเงินเดือน (วันออกหนังสือไม่เกิน 2 เดือน)
        2. บัญชีเงินเดือนที่แสดงเงินเดือนเข้าย้อนหลัง 3 เดือน
        3. สำเนาบัตรประชาชน
        4. สำเนาทะเบียนบ้าน
*ถ้าเป็นเจ้าของธุรกิจ ให้ใช้หนังสือรับรองหรือทะเบียนการค้า แทนสลิปเงินเดือน ส่วนบัญชีย้อนหลังต้องใช้ 6 เดือน ครับ

แนะนำเวปไซท์สำหรับสมัครบัตรเครดิตออนไลน์

http://www.webpakgroup.com/online/index.php
http://www.bangkokcredit.com/home.php 


kman

Tuesday, 5 June 2012

เครดิตบูโรกับแบล็คลิส

มันคือ อะไร หนอ ? เชื่อว่า อาจจะมีหลายคนยังไม่รู้จักเกี่ยวกับ สองคำนี้อย่างชัดเจนนัก บ้างก็อาจคิดว่ามันเหมือนกันมั้งคือประวัติเครดิตเสีย อืม แล้วอันที่จริงเป็นแบบไหนกันนะ

เครดิตบูโร

คือ การรายงานสถานะการชำระสินเชื้อย้อนหลัง 24 เดือน ล่าสุด หมายความว่าคุณจะชำระสินเชื่อตรงกำหนดหรือไม่ตรงกำหนด ในระยะเวลา 24 เดือน นั้นจะมีบันทึกอยู่ที่เครดิตบูโร ซึ่งมีผลกับเราก็คือเวลาเราขอทำสินเชื่อกับธนาคาร ทางธนาคารจะทำการตรวจสอบเครดิตบูโรถ้าพบว่ามีการชำระสินเชื่อที่ไม่ดี ค้างชำระหนี้ หรือ ผิดชำระหนี้ ทางธนาคารจะรู้ได้จากรายงานของเครดิตบูโร ซึ่งอาจมีผลให้ไม่อนุมัติสินเชื่่อได้ วิธีแก้คือต้องพยายามชำระหนี้ให้ได้ตรงกำหนดที่สุด เพื่อให้ประวัติช่วงหลัง มีสถานะดีขึ้น และเมื่อครบกำหนด 24 เดือน ข้อมูลเครดิตบูโรที่ไม่ดีก็จะถูกลบออกจากระบบไป ส่วนในกรณีที่เราสงสัยเกี่ยวกับเครดิตการชำระสินเชื่อของเรา เราสามารถขอดูได้จากเครดิตบูโร โดยเสียค่าใช้จ่าย 200 บาท ต่อครั้ง ครับ

แบล็คลิส

คือ รายชื่อบุคคลที่มีประวัติเสียทางการเงิน จนถูกขึ้นบัญชีแบล็คลิส สถานะของบุคคลนั้นจะเป็นเหมือนภาพนิ่งครับ ไม่่มีการเคลื่อนไหวใดๆ

รู้จักกับเครดิตบูโร กันอีกหน่อยสิ

เครดิตบูโร (Credit Bureau) หรือ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ คือบริษัท ที่ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลเครดิต จากสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิก เมื่อมีสถาบันการเงินที่จะปล่อยสินเชื่อ เงินกู้ทั้งหลายหรือลูกค้าที่เป็นเจ้าของข้อมูลเอง ต้องการก็จะสามารถยื่นคำขอ รายงานข้อมูลเครดิต มาได้ซึ่งในรายงานนั้น จะประกอบด้วย ข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคุณสมบัติของลูกค้าที่ขอสินเชื่อ ประวัติการขอสินเชื่อประวัติการได้รับอนุมัติสินเชื่อ และ การชำระสินเชื่อรวมถึง ประวัติการชำระค่าสินค้าหรือบริการด้วยบัตรเครดิตเครดิตบูโรจะไม่มีข้อมูลที่เกี่ยวกับ ทรัพย์สินส่วนตัวหรือ ข้อมูลบัญชีเงินฝาก ของบุคคลผู้นั้นจะรายงานเพียงข้อมูลทางด้านสินเชื่อเท่านั้นครับ

เครดิตบูโรกับแบล็คลิส

จึงสรุปคร่าวๆ ว่า แบล็คลิสคือคนที่ติดบัญชีของทางธนาคารให้เป็นคน ที่มีประวัติเสียทางการเงิน ส่วนเครดิตบูโร เป็นการรายงานสถานะสินเชื้อย้อนหลัง 24 เดือนอยากจะแนะนำนะครับสำหรับท่านที่จะกู้เงินจากสถาบันการเงิน ต้องดูถึงความสามารถในการชำระ สินเชื่อคืนให้กับธนาคารด้วยนะครับเพระว่าถ้าชำระเงินคืนไม่ได้ อาจมีผลให้ต้องเีสียทรัพย์รวมทั้งประวัติ การเงินเสียด้วย ทำให้เวลาขอสินเชื่อต่อไปทำได้ ยาก ขึ้น

kman

ดอกเบี้ยบัตรเครดิต

อัตราดอกเบี้ยของบัตรเครดิตในปัจจุบันเท่ากับร้อยละ 20 ต่อปี โดยอัตราดอกเบี้ยนี้ ถูกกำหนดและกำกับดูแลโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งจะประกาศให้สถาบันการเงิน ที่เป็นธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร ผู้เป็นเจ้าของบัตรเครดิตนำอัตราที่กำหนดนี้ไปใช้ เป็นอัตราขั้นสูงสุดที่จะสามารถเรียกเก็บจากผู้ใช้บัตรได้ ซึ่งมีธนาคารบางแห่ง ใช้อัตราที่ต่ำกว่า


รูปตัวอย่างการคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิตของธนาคารไทยพาณิชย์

วิธีกำรคิดดอกเบี้ย
การใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของเรา ถ้ามีวินัยในการใช้เงินที่ดีชำระหนี้เต็มจำนวนทุกครั้ง ก็จะไม่ทำให้เราต้องเป็นหนี้แต่ ถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องให้ค่าใช้จ่ายนั้นกลายเป็นหนี้สิ่งที่จะตามมา ก็คือดอกเบี้ย หากเราได้ศึกษาถึงวิธีการคิดดอกเบี้ยที่ดีอาจจะทำให้เราสามารถวางแผนในการบริหารเงินของเราได้ดีขึ้น



ตัวอย่างที่ 1 นายสันต์ขอยืมเงิน 3,000 บาท จากนายสุข กำหนดชำระหนี้2 ปีอัตราดอกเบี้ยคงต้น10% จงหาดอกเบี้ย และเงินรวม

วิธีทำ จากสูตร I = P  x r t
         ในที่นี้ I = ดอกเบี้ย, P = 2,000 บาท
r = 10% = 10 / 100, t = 2 ปี

แทนค่าในสูตร I = 2,000 x 10 x 2 / 100
ดังนั้น ดอกเบี้ย = 400 บาท
เงินรวม = เงินต้น + ดอกเบี้ย = 2,000 + 400
ดังนั้นนายสุขสันต์ต้องจ่ายเงินรวมทั้งสิ้น = 2,400 บาท

กรณีที่โจทย์กำหนดระยะเวลาเป็นเดือนมีวิธีการคำนวณดังนี้

ตัวอย่างที่ 2 นางดวงเดือนขอยืมเงินจากนางดวงดาว 5,000 บาท อัตราดอกเบี้ยคงต้น12% เป็นระยะเวลา6 เดือน นางดวงดาวต้องชำระหนี้เท่าไร (1 ปี = 12 เดือน)

วิธีทำ  จากสูตร         I = P x r x t

         ในที่นี้         I       =      ดอกเบี้ย, P = 5,000 บาท
r       = 12% = 12 / 100 , t     = 6 เดือน / 12 เดือน
I       = 5,000 x (12 / 100) x (6 / 12)

 ดังนั้น ดอกเบี้ย         = 300 บาท
เงินรวม                         = เงินต้น + ดอกเบี้ย = 5,000 + 300
ดังนั้นนางดวงเดือนต้องช�าระหนี้ = 5,300 บาท


kman

ปลดหนี้บัตรเครดิต



ก็ง่ายๆ แค่จ่ายหนี้หมดตามกำหนด แค่ นั้นเอง :) แต่จริงๆ แล้วอาจไม่ง่ายขนาดนั้น (บางคนรูดเพลิน รูดบัตรโน้นโป๊ะบัตรนี้ กันสารพันกันไปหมด) มีข้อแนะนำสำหรับคนที่มีหนี้บัตรเครดิตหลายๆ ใบ ง่ายๆ คือ
  • เช็คบัตรเครดิตของตัวเองว่ามีกี่ใบ เป็นหนี้อยู่เท่าไหร่ อยู่กี่ใบ ต้องจ่ายใบไหนจำนวนเท่าไหร่ จดมาเป็นรายการเพื่อเปรียบเทียบ
  • เช็คค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ย ของบัตรแต่ละใบที่เป็นหนี้ และจดเพื่อเปรียบเทียบว่าควรจะชำระหนี้ของบัตรใบไหนก่อน
  • ลองโทรศัพท์เพื่อเจรจาต่อรอง เรื่องของดอกเบี้ยบัตรเครดิต ของธนาคารนั้นๆ อาจจะไม่สำเร็จทุกธนาคารไปแต่อย่างน้อยก็ได้ลองแล้ว ถ้าสำเร็จก็จะลดภาระของเราลง
  • ชำระหนี้ ซึ่งแน่นอนต้องเป็นบัตรที่มีดอกเบี้ยสูํง อยู่แล้วแต่ ควรต้องจ่ายให้มากกว่าขั้นต่ำมากๆ นะเพื่อให้บัตรหมดไวที่สุด แต่ต้องอย่าลืมจ่ายเบี้ยของบัตรที่ตอกเบี้ยต่ำกว่าด้วยนะ อาจชำระที่ขั้นต่ำก็ได้ ไม่งั้นโดนค่าปรับได้ (ย้ำนะครับว่าต้องชำระหนี้ของบัตรที่ดอกเบี้ยสูง โดยผ่อนให้มากกว่าขั้นต่ำ ส่วนบัตรที่ดอกเบี้ยต่ำกว่าให้ผ่อนแค่ขั้นต่ำก็พอ พอบัตรที่ดอกเบี้ยสูงหมดแล้ว ก็เริ่มผ่อนจำนวณมากๆ กับบัตรที่ดอกเบี้ยต่ำ) ถ้าทำได้อย่างนี้ ไม่นานนักก็จะหมดนี้บัตรเครดิตได้ครับ หรืออาจใช้บริการโอนหนี้บัตรเครดิต ซึ่งก็มีอยู่หลายธนาคาร เพื่อรวมหนี้บัตรเครดิตทั้งให้เหลือเพียงที่เดียว ซึ่งอาจจะได้ดอกเบี้ยที่ถูกกว่าได้ แต่ต้องศึกษารายละเอียดค่าธรรมเนียมดอกเบี้ยต่างๆ ก่อนนะครับ
  • ห้ามนะครับ ถ้าอยากปลดหนี้ก็อย่าหาหนี้มาใส่ตัวอีกนะครับ เพราะไม่งั้นคงจะแก้ปัญหากันไม่จบอย่างแน่นอน
ชำระหนี้

การชำระหนี้บัตรเครดิตนั้น ทางธนาคารจะนำยอดที่ชำระหนี้ไปชำระดอกเบี้ยบัตรเครดิตก่อน แล้วที่เหลือจึงนำไปชำระเงินต้น และแน่นอนว่าเงินต้น คือเงินที่จะนำมาใช้ในการคิดดอกเบี้ย ดังนั้นวิธีการที่ดีก็คือ ต้องชำระหนี้บัตรเครดิตให้มากกว่าขั้นต่ำ เพื่อให้เงินที่เหลือเพื่อไปชำระเงินต้นมากขึ้น ทำให้เงินต้นลดลงและดอกเบี้ยที่เกิดมาใหม่นั้นจะลดลงด้วย ซึ่งถ้ามัวแต่ชำระขั้นต่ำนั้น รับรองว่ากว่าจะหมดหนี้นั้นนานมากอย่างแน่นอน


โอนหนี้บัตรเครดิต - Credit card balance transfer

เป็นวิธีการแก้ปัญหาการผ่อนบัตรเครดิตวิธีหนึ่ง คือการที่รวมหนี้สินบัตรเครดิตต่างๆ ทั้งหมดให้มาอยู่ ภายใต้ ธนาคารหรือสถาบันทางการเงิน แห่งเดียว (ไม่ต้องไปผ่อนหลายๆ บัตร เหลือผ่อนแค่ ธนาคารเดียว) ซึ่งมีข้อดีคือจะได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่า (แนะนำว่าไปต่อลองหลายๆ ธนาคาร เพื่อดูว่าที่ไหนให้ดอกเบี้ยถูกที่สุด) และจะได้ระยะเวลาที่ผ่อนนานขึ้นด้วย และยังได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมในการโอนหนี้ และได้รับคำปรึกษาฟรี อีกด้วย

บัตรเครดิตต่างจากบัตรกดเงินสดอย่างไร



 หลายคนอาจจะสงสัย ว่า บัตรเครดิตต่างจากบัตรกดเงินสดอย่าง ไร มันก็มิเงินออกมาให้เหมือนกัน นี่ นา เอ แล้วมันต่างกันอย่างไร หนอ. เอ แล้วถ้าเราต้องการเงินสดเราจะกดจากบัตรอะไรดี หรือ สมัครใช้บัตรอะไรดีกว่ากัน อืม ผมเองก็เคยสงสัย ทำไมมันต้องมีหลายบัตรด้วยนะ ก็เลยลองค้นข้อมูลเกี่ยวกับบัตรเครดิต กับบัตรกดเงินสด ออกมาดู ผมลองสรุปคร่าวๆ มาเปรียบเทียบกันดู

บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด
เงินเดือนที่ใช้สมัคร >=15000 >=10000
วงเงินอนุมัติ >=2 เท่าเงินเดือน >=5 เท่าเงินเดือน
ค่าธรรมเนียมกดเงินสด 3% ไม่มี
ชำระคืนขั้นต่ำ 10% 5%
ดอกเบี้ย 20% >=20%

เงินเดือนที่ใช้สมัคร

ของบัตรเครดิต นั้นต้องมากกว่าหรือเท่ากับ 15000 บาทขึ้นไป (สมัครยากกว่า บัตรกดเงินสดนะเนี่ย)

วงเงินอนุมัติ

ของบัตรเครดิตได้ประมาณมากกว่าหรือเท่ากับ 2 เท่า ของเงินเดือน บัตรกดเงินสดให้มากกว่าเยอะพอสมควรเลย

ค่าธรรมเนียมกดเงินสด 

ของบัตรเครดิตคิดค่าธรรมเนียม 3% แต่บัตรกดเงินสดไม่คิดค่าธรรมเนียม อันนี้ดีมากๆ เลย

ชำระคืนขั้นต่ำ

ของบัตรเครดิตต้องชำระถึง 10% ส่วนบัตรเงินสดชำระแค่ 5% อย่างงี้บัตรกดเงินสดก่อผ่อนได้นานกว่านะสิ

ดอกเบี้ย

ของบัตรเครดิตคิดที่ 20% ส่วนบัตรกดเงินสด มากกว่าหรือเท่ากับ 20%(แล้วแต่ธนาคาร)
___________________________________________________________

บัตรเครดิต 

มีไว้เพื่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน โดยไม่ต้องพกเงินสดให้ยุ่งยาก แถมมีแต้มสะสม เพื่อแลกของรางวัลอีกด้วย แต่ถ้าจะถอนเงินสดจากบัตรเครดิตก็จะมีค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงินอยู่ด้วย

บัตรกดเงินสด 

ใช้ถอนเงินสดจำนวนมากได้ (โดยส่วนมากจะอนุมัติวงเงินมากกว่าบัตรเครดิต) แต่อาจไม่เหมาะมาใช้จ่ายแทนบัตรเครดิต เพราะบัตรเครดิตมีแต้มสะสม แต่บัตรกดเงินสดไม่มี แต่มีข้อดีตรงที่วงเงินที่ได้สูงกว่าบัตรเครดิตและให้ระยะเวลาการผ่อนคืนกลับมานานกว่า บัตรกดเงินสดจึงน่าจะเป็นเหมือนกับวงเงินฉุกเฉินเมื่อมีเหตุต้องใช้เงิน

หวังว่าบทความนี้คงจะช่วยให้ผู้อ่านพอเข้าใจถึงภาพรวมความแตกต่างของบัตรเครดิตกับบัตรกดเงินสด เพื่อใช้จ่ายให้เหมาะสมกับชีวิตประจำวันของเรา


kman