Search This Blog

Sunday, 22 July 2012

บัตรประเภทชาร์จการ์ดและเครดิตการ์ด

บัตรประเภทชาร์จการ์ดและเครดิตการ์ด

 

หากท่านใช้จ่ายอย่างถูกวิธี บัตรประเภทเครดิตการ์ดหรือชาร์จการ์ด สามารถอำนวยความสะดวกให้กับท่านได้อย่างมากมาย อีกทั้งยังมอบสิทธิประโยชน์รวมไปถึงความคุ้มครองอีกด้วย

  

บัตรประเภทเครดิตการ์ดคืออะไร


บัตรประเภทเครดิตการ์ด  คือการให้วงเงินหมุนเวียน  ซึ่งหมายถึงท่านสามารถยกยอดใช้จ่ายคงเหลือไปยังเดือนถัดไปได้ โดยไม่จำเป็นต้องชำระเต็มจำนวน

แต่ละครั้งที่ท่านใช้บัตรเครดิต หมายถึงท่านกำลังใช้บริการเงินกู้ โดยผู้ออกบัตรจะกำหนดว่าอย่างน้อยท่านต้องทำการชำระยอดใช้จ่ายขั้นต่ำภายใน กำหนดชำระแต่ละเดือนเท่าไร

หากท่านชำระยอดใช้จ่ายเต็มจำนวนภายในกำหนดชำระอย่างสม่ำเสมอ ดอกเบี้ยจะไม่ถูกคำนวณบนยอดใช้จ่ายใดๆ ของท่าน แต่หากท่านเลือกที่จะยกยอดใช้จ่ายบางส่วนไปยังเดือนถัดไปหรือชำระล่าช้า ดอกเบี้ยจะถูกคำนวณและเรียกเก็บบนบัญชีบัตรของท่าน โดยเริ่มคำนวณจากวันที่ร้านค้าทำการเรียกเก็บยอดใช้จ่ายมายังผู้ออกบัตร ดอกเบี้ยจะถูกเรียกเก็บบนยอดคงค้างชำระและรายการเบิกถอนเงินสดโดยเริ่มนับ จากวันที่ทำรายการ

เคล็ดลับ: ในกรณีที่ท่านยกยอดใช้จ่ายไปยังเดือนถัดไปการชำระยอดคงค้างก่อนวันครบกำหนด ชำระรายเดือน จะช่วยให้ท่านประหยัดการจ่ายดอกเบี้ยได้

 

บัตรประเภทชาร์จการ์ด คืออะไร

บัตรประเภทชาร์จการ์ดนั้นแตกต่างจากบัตรประเภทเครดิตการ์ด ตรงที่บัตรประเภทชาร์จการ์ดนั้นกำหนดให้ในแต่ละเดือนท่านต้องชำระยอดใช้จ่ายเต็มจำนวน ท่านจึงสามารถบริหารค่าใช้จ่าย และการเงินของท่านได้ง่ายดายยิ่งขึ้น และท่านไม่จำเป็นต้องเสียดอกเบี้ย หากท่านชำระค่าใช้จ่ายเต็มจำนวนทุกเดือน

มากไปกว่านั้น บัตรประเภทชาร์จการ์ดจะนำเสนอพร้อมหลากหลายรูปแบบของของรางวัลอีกด้วย

ที่มา : https://www212.americanexpress.com

Monday, 9 July 2012

คดีบัตรเครดิต(3)


ขึ้นศาลครั้งแรก
ประสบการณ์ของลูกหนี้บัตรเครดิตคนหนึ่งที่ไปทำสัญญาเงินกู้ไว้ แต่หาเงินใช้คืนได้ไม่ทันต้องถูกฟ้องร้องเป็นคดีแพ่ง หลายคนอาจจะวิตกเมื่อชีวิตต้องมาถึงขั้นนี้ แต่บางทีก็อาจจะมองด้านร้ายเกินการณ์ก็เป็นได้ ทางสว่างย่อมมีเสมอเมื่อใช้สติปัญญาแก้ไขปัญหา

"ผมต้องไปศาล ครั้งแรกในชีวิต คนเดียวตามลำพัง"

เวลา 12.45 น.
ผมถึงศาล.. เดินเข้าไปแบบ เงอะงะ เข้าไปห้องการเงิน ถามป้าคนหนึ่ง (พนักงานในศาล) ผมจะมาจ่ายค่าแต่งทนายครับ ป้าแกตอบว่าไปที่โต๊ะนั้น เลยลูก พร้อมชี้มือไป.. คำว่าลูก ที่แกเรียกผม ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาเยอะเลย อธิบายไม่ถูก ขอขอบคุณ ป้าคนนั้นมา ณ.ที่นี่ด้วยครับ...

เวลา 13.15 น.
หลังจากที่ผมจ่ายค่าแต่งทนายเสร็จ ก็เดินไปตรวจสอบรายชื่อ ว่าเราต้องไปพิจารณา ที่ห้องไหน ปรากฏว่า ผมต้องไปที่ ห้องที่ 3 ดูจากรายชื่อแล้ว คดีเดียวกัน เป็น10 คนเลย (โดน City Bank ฟ้อง).. พอผมเข้าเจอผู้หญิง 2 คน นั่งอยู่ใน คอกข้าง ๆ (ไม่รู้ว่าเขาเรียกว่าอะไรนะ ขอเรียกคอก ละกัน) ผมเลยถามว่า ผมจะยื่นคำให้การที่ไหนครับ เขาก็ใจดีนะ บอกผมว่า เดี๋ยวหน้า บัลลังก์ มาก็ยื่นให้เขาเลยนะคะ (ที่หน้าผู้พิพากษาจะมีคนนั่งอยู่ 1 คนเรียกว่าหน้าบัลลังก์ คงคล้ายๆกับ เลขา) ผมนึกในใจ มาศาลวันนี้เจอแต่คนใจดี ๆ ทั้งนั้น ผมเดินแอบหลบไปนั่งที่เก้าอี้ ซึ่งมีคนนั่งอยู่หลายคน... ซักพักผู้หญิง 2 คนนั้นก็เดิน ถามคนโน้นคนนี้ ว่าจะยอมความไหมค่ะ ทางธนาคารจะลดดอกให้นะคะ ให้ส่งเดือนละ1000 นะคะ ปลอดดอกเบี้ย 1 ปีค่ะ ถ้ายอม เซ็นตรงนี้นะคะ... ผมจึงถึงบางอ้อ ผู้หญิง 2 คนนี้ เป็นทนายของ city bank ผมก็ได้แต่นั่งเฉยๆ ดูคนโน้น คนนี้ เซ็นยอมความกัน... สรุป 10 กว่าคน มีผมยื่นคำให้การสู้คดี คนเดียว ผมถามคนอื่นว่า ทำไมพวกพี่ไม่สู้คดีล่ะครับ ส่วนใหญ่จะตอบว่าถ้าสู้คดี ก็ต้องจากทนาย 6000-7000 บาท เป็นหนี้ แค่4-5 หมื่น ก็ทนๆ จ่ายมันไป บางคนก็ไม่รู้ว่าจะไปจ้างทนายยังไง บางคนก็บอกว่านึกว่าที่ศาลมีทนายไว้ค่อยช่วยอยู่แล้ว...( แสดงว่ายังมีลูกหนี้อีกเยอะที่ยังขาดความรู้ในข้อกฎหมาย หรือ ไม่รู้ว่าสามารถจะสู้คดี เพื่อให้ศาลช่วยเหลือ ในเรื่องของการตัดดอกเบี้ย...ค่าติดตาม ทิ้งหลังจากพิจารณาเสร็จแล้ว )

เวลา 13.30 น.
มีผู้หญิงสูงอายุเดินเข้ามานั่งที่ หน้าบัลลังก์ ผู้หญิง 2 คนนั้น(ทนายCITY bank) ก็เรียกผม คุณ ๆ หน้าบัลลังก์มาแล้ว ยื่นคำให้การได้เลยค่ะ (เขายังไม่รู้ว่าผม ก็เป็นจำเลยของเขาคนหนึ่ง)..พอผมเดินไปยื่นคำให้การ หน้าบัลลังก์ ก็ถามผม คดีอะไร ผมตอบ เงินกู้ของCity bankครับ พอทนายของCity bank ได้ยิน ก็มองหน้ากัน (คงจะนึกในใจไม่น่าช่วยมันเลย อิ อิ อิ จะขอให้ยอมความตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว ยื่นคำให้การแล้ว อิ อิ) แต่ปัญหาของผมตอนนี้คือ ยายป้าหน้าบัลลังก์ แกถามผมแบบไม่เกรงใจเลย เช่น ยื่นคำให้การจะสู้คดีเขาหรือไง ไม่ได้ยืมเงินเขามาหรือไงถึงจะสู้คดี หรือว่าชาตินี้ไม่เคยยืมเงินเขามาเลย.... (แหมถ้าเป็นคนแถวบ้านถามจะโดดเตะก้านคอสักที)

เวลา14.00 น.
ผู้พิพากษา ขึ้นบัลลังก์ ท่านเรียกผมเป็นคนแรกเลย เพราะผมสู้คดีคนเดียว ท่านถามว่า ว่าไงเราจะสู้คดีเขาเหรอ ทนายมาไหมล่ะ ผมตอบทนายไม่มาครับ ติดคดีศาลอื่น ท่านก็หัวเราะและก็บอกว่าเอ้า แล้วจะทำยังไงล่ะเนี้ย ไม่ฟังข้อเสนอของโจทย์ เขาก่อนเหรอ แล้วค่อยคิดว่าจะสู้คดีหรือไม่สู้ ผมตอบท่านว่า ผมขอปรึกษาทนายก่อนครับ (ตามสคริปที่คุณทนายของผมบอกมาทุกอย่าง).. ท่านก็บอกว่า เอ้า ตัวของเรา เราตัดสินใจเองไม่ได้เหรอ ผมก็หัวเราะแฮะๆ ทนายของCity bank ก็บอก ศาลว่า ขออนุญาต บอกข้อเสนอกับผม ศาลก็อนุญาต ทนายบอกว่ายอดฟ้อง 61,332 ลดให้เหลือ 50,000 ผ่อน 2 ปีไม่มีดอกเบี้ย... ศาลก็ถามผมว่า ว่าไงสนใจไหม เขาลดให้ 10,000 กว่าเชียวนะ เอาไหม (พวกคนอื่นๆ ที่ยอมความ ร้องอือฮือ เสียดายกันใหญ่ เพราะตัวเอง ยอมความและได้ส่วนลด 1,000-2,000 บาท ส่งเดือนละไม่ต่ำกว่า 1,500 ปลอดดอกเบี้ย 1 ปี แค่นั้น) ส่วนผม ลดให้ 11,332 บาท ส่งไม่ต่ำกว่า 1,000 ปลอดดอกเบี้ย 2 ปี... ผมเริ่มคิดหนัก เหมือนกัน.... ข้อเสนอก็น่าสนใจ ยืนคิดนานเลย แต่นึกถึงสิ่งที่คุณทนายบอกว่า City bank เขาคิดดอกเบี้ยคนเกินมาตลอด ผมจะสู้คดีให้คุณ จนถึงที่สุด ก็เลยตัดสินใจ (ตายเป็นตายว่ะ) บอกศาลไปว่า ขอสู้ครับ ศาลก็บอกว่า งั้นก็ตามใจ วันนี้ทนายไม่มาคงทำอะไรไม่ได้ งั้นเลื่อนนัด สืบพยานเลยล่ะกัน ทนายให้วันว่างมาไหม ผมเลยเอาวันว่างของคุณทนาย ให้ทนายของอีกฝ่ายกับศาลดู สรุป นัดสืบพยานเป็น 2 พ.ย 48

เวลา 15.00 น.
กลับจากศาล....โล่งใจไป.. ไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่คิด หันไปมองศาล คิดในใจ อีก 2 เดือนกว่า ๆ จะมาใหม่ แล้วจะมาอยู่เรื่อยๆ.. เพราะยังมีหนี้อยู่อีก 6-7 ใบ ที่เข้าคิวฟ้องอยู่ คิดในใจ หนีก็ตาย ไม่หนี อาจจะตาย หรือ ไม่ตาย ก็ได้... สู้มันต่อไป เพื่อ สันติสุขของ ครอบครัวจะกลับคืนมา...

จาก Somdech 
เครดิต : http://www.lukkid.com/debt/debt07.html 

Monday, 2 July 2012

ประวัติบัตรเครดิต


ประวัติความเป็นมาของ บัตรเครดิต


ในยุคเริ่มแรกของสังคมมนุษย์นั้นยังเป็นยุคสังคมเกษตรกรรมเป็นสังคัมที่มี การติดต่อสัมพันธ์กันในวงจำกัด ผู้คนในสังคมได้เป็นที่รู้จักกันมีความรู้และรับรู้ถึงสภาพฐานะทางสังคมและ ฐานทางเศรษฐกิจ บ้านใดมีความมั่นคงและร่ำรวยเป็นผู้ที่ได้รับการเชื่อถือในวงสังคมของผู้คน ในสังคมเดียวกัน การซื้อขายติดต่อกันก็เป็นไปอย่างง่ายๆเป็นการแลกเปลี่ยนตลอดจนมีการซื้อขาย ด้วยเงินตรา ซึ่งก็มีรัฐบาลเป็นผู้ประกันความเชื่อถือและความมั่นคง
ประเทศที่คิดค้นและนำบัตรเครดิตมาใช้เป็นประเทศแรกคือ ประเทศสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ.1914 โดยบริษัทเยอเนอรัลปิโตรเลียม คอร์เปเรชั่น ออฟแคลิฟอร์เนีย(ปัจจุบัน คือ บริษัท โมบิลออยส์จำกัด) ได้ออกบัตรเครดิตชนิด หนึ่งแก่พนักงานของบริษัทและลูกค้าของตนบางรายที่ได้รับเลือกสรรแล้วให้ใช้ บัตรดังกล่าวแทนเงินสดได้โดยสามารถนำไปใช้ชำระค่าน้ำมันเชื้อเพลิง แต่ใช้ได้เฉพาะในกลุ่มของตนเองเท่านั้น นำไปใช้กับบุคคลอื่นไม่ได้และบัตรเครดิตฉบับแรกนี้ มีลักษณะเป็นเหรียญโลหะ
ต่อมาในปี ค.ศ.1920 บริษัท ที่จำหน่ายน้ำมันก็ได้ออกบัตรในทำนองนี้ให้แก่ลูกค้าเพื่อเป็นการอำนวยความ สะดวก ต่อมาได้รับความนิยมมากขึ้นก็มีการขยายตัวของการออกบัตรเครดิต ไปใช้ซื้อสินค้าและบริการในสินค้าอื่นๆ มากขึ้น
ในปี ค.ศ.1950 นายแฟรงค์ แมคนามารา นักธุรกิจชาวนิวยอร์คได้รับประทานอาหารเย็นที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง แล้วลืมพกกระเป๋าเงินติดตัวไปจึงไม่มีเงินชำระค่าอาหาร ต้องโทรศัพท์ให้ภรรยานำเงินไปให้จากเหตุการณ์นี้เองทำให้เขาคิดว่าน่าจะมี บัตรพิเศษใช้แทนเงินได้ เขาจึงนำความคิดนี้ไปหารือกับนาย ราล์ฟ ชไนเดอร์ ทนายความที่ปรึกษาของเขาว่าวิธีการดังกล่าวจะมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด และ ในที่สุดทั้งสองจึงได้จัดตั้ง บริษัท ไดเนอร์สคลับ ออกบัตรเครดิตเพื่อใช้ในการซื้อสินค้าและบริการแทนการชำระด้วยเงิน ซึ่งคำว่า diners นั้นมาจากคำว่า dinner ที่แปลว่าอาหารเย็นนั้นเอง
บริษัทเอกชนอีกหลายบริษัทได้ออกบัตรเครดิต โดยในปีค.ศ1958 บริษัทอเมริกันเอ็กซ์เพรส จำกัด ได้ออกบัตรเครดิต อเมริกัน เอ็กซ์เพรส
ในปี ค.ศ.1959 ธนาคาร อเมริกันเอ็กซ์เพรสจำกัด ได้ออกบัตรเครดิต ชื่อ bank americaed ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “VISA CARD”
ในปี ค.ศ.1966 กลุ่ม inter bank ในสหรัฐอเมริกาได้ออกบัตรเครดิต ชื่อ master-charge ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็น “master casd”
ที่มา สุรเชษฐ ชีรวินิจ